วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่7


❤รูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนการสอนของไทย❤
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสอนแบบ ไทย


    👉ผู้เขียนได้เสนอรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาในต่างประเทศซึ่งได้รับการยอมรับและนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนกันอย่างกว้างขวางพอสมควร  นักศึกษาไทยได้ติดตามศึกษาความก้าวหน้าด้านวิชาเหล่านี้ และได้นำมาเผยแพร่ในวงการศึกษาไทยซึ่งได้รับความนิยมมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปตามความคิดเห็นและความเชื่อของผู้รับในขณะเดียวกันได้มีนักคิดนักการศึกษาและครูอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ในการจัดการศึกษาและจัดการเรียนรู้จำนวนหนึ่งที่ได้พยายามคิดค้นหรือพัฒนา รูปแบบการเรียนการสอนขึ้นจากความรู้ความคิดและประสบการณ์ของตนหรือประยุกต์จากทฤษฎีหรือหลักการที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้วเช่นประยุกต์จากหลักพุทธธรรมหรือประยุกต์จากต่างประเทศโดยพิจารณาให้เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของไทยปัญหาความต้องการและธรรมชาติของเด็กไทย
กระบวนการเรียนการสอนที่ได้รับพัฒนาอย่างเป็นระบบและได้รับทดลองใช้เพื่อพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพแล้วถือว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอนหรือเป็นแบบแผนการจัดการเรียนการสอนที่ผู้อื่นสามารถนำไปใช้แล้วเกิดผลตามวัตถุประสงค์ของรูปแบบนั้นได้นับว่าเป็นการช่วยเหลือแนวทางแก่ผู้ปฏิบัติไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกหากได้รูปแบบที่ดีกับวัตถุประสงค์ในการสอนของตนก็สามารถสอนตามแบบแผนและได้ผลตามที่ต้องการได้ 
  ประเทศไทยรูปแบบลักษณะดังกล่าวมาจากกลุ่มบุคคล2กลุ่ม. คือนักศึกษาที่สนใจศึกษาและทำวิจัยเกี่ยวกับการเรียนการสอนกลุ่มหนึ่งและอีกกลุ่มหนึ่งคือนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอกที่ศึกษาวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาผลงานจากกลุ่มหลังนี้มีจำนวนมากกว่ากลุ่มแรกมากเนื่องจากจำนวนนิสิตนักศึกษามีมากแต่คุณภาพการทำงานย่อมหลากหลายตามความสามารถของผู้ทำด้วย
นอกจากการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนขึ้นดังกล่าวได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วยังมีกลุ่มบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งทั้งอยู่ในวงการศึกษาได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาและกลุ่มที่อยู่ในวงการอื่นที่ไม่ใช่การศึกษาแต่สนใจในเรื่องการศึกษาได้นำเสนอแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่างเป็นระบบเป็นกระบวนการคือขั้นตอนที่เป็นไปอย่างมีลำดับชัดเจนซึ่งถึงแม้ยังไม่ได้รับการทดลองใช้เป็นระบบและพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพตามหลักการแล้วแต่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมไม่น้อยผู้เขียนขอเรียกผลงานในลักษณะดังกล่าวว่า
"กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน". ดังนั้นในบทนี้ผู้เขียนจึงนำเสนอรูปแบบกระบวนการดังกล่าวข้างต้นโดยแบ่งออกเป็น3หมวดใหญ่ๆคือ 
  • 1.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักศึกษาไทย
  • 2.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
  • 3.กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน

   อนึ่งก่อนนำเสนอรูปแบบและกระบวนการดังกล่าวผู้เขียนขอทำความเข้าใจก่อนว่ารูปแบบบางรูปแบบที่นำเสนอและผู้เขียนเรียกว่ารูปแบบการเรียนการสอนนั้นบุคคลที่พัฒนารูปแบบขึ้นมาอาจจะไม่ได้เรียกชื่อของท่านว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอนบางท่านเรียกว่า"การสอนรูป" "แบบการสอน" "กระบวนการสอน" "การจัดการเรียนการสอน" "การสอนแบบ.." ซึ่งโดยความหมายและลักษณะของผลงานแล้วต้องกลับความหมายของรูปแบบการเรียนการสอนทั้งสิ้นดังนั้นผู้เขียนจึงขอใช้ว่า"รูปแบบการในการสอน"ทั้งหมดเพื่อความเป็นระเบียบและทำให้ผู้อ่านไม่เกิดความสับสน


  👩1.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักศึกษาไทย👨
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

         ผู้เขียนจะนำเสนอ4รูปแบบ ดังนี้
  • 1.รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนาโดย สมุน อมรวิวัฒน์
  • 2.รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการพัฒนาโดย สมุน อมรวิวัฒน์
  • 3.รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดเป็นเพื่อดำรงชีวิตในสังคมไทยพัฒนาโดยหน่วยศึกษา นิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
  • 4.รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง:โมเดลซิปปา(CIPPA)  พัฒนาโดย ทิศนา แขมมณี


1.รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนาโดย สมุน อมรวิวัฒน์
   รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

  👸ความหมาย
การจัดการเรียนรู้โดยการใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์  เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงการกระทำกับการคิดวิเคราะห์เข้าด้วยกัน โดยผู้สอนสร้างหรือนำสถานการณ์ด้านต่างๆ มาให้ ผู้เรียนได้เผชิญสถานการณ์แบบต่าง ๆ  ซึ่งวงอาจเป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงของผู้เรียน เป็นการฝึกให้ผู้เรียนมีควรเชื่อมั่นในการนำความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร มาสรุปประเด็น เพื่อประเมินค่าว่าสิ่งใดถูกต้อง ดีงาม เกิดประโยชน์ ควรหรือไม่ควรแก่การปฏิบัติ และสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ปฏิบัติได้จริง เมื่อมีการเผชิญสถานการณ์และเจอปัญหาวิธีการจัดการเรียนรู้นี้เป็นการประยุกต์มาจากหลักพุทธธรรมและพุทธวิธี เพื่อนำไปใช้ให้เหมาะกับการเวลา ลักษณะเนื้อหาสาระและวัยของผู้เรียน

  👋ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้

  ขั้นตอนการจัดการเรียนโดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์นั้น กรมวิชาการ (2530) และ สมุน อมรวิวัฒน์, 2530 อ้างถึงใน มยุรี วิมลโสภณกิตติ, 2538 เสนอไว้ดังนี้

1.   ขั้นสร้างศรัทธา
ขั้นนี้เป็นกิจกรรมสร้างความสนใจและความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น ผู้เรียนสนใจและเชื่อมั่นว่าบทเรียนนี้สำคัญต่อชีวิตของเขา เชื่อมั่นว่าจะช่วยพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ เชื่อมั่นในตัวผู้สอนและเชื่อมั่นว่าบทเรียนนี้จะช่วยให้เขามีประสบการณ์ที่มีคุณค่า

2.   ขั้นศึกษาสังคม    (ฝึกทักษะรวบรวมข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริง ความรู้และหลักการ)
กิจกรรมนี้เป็นขั้นตอนที่เสนอสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของผู้เรียนเพื่อนำไปสู่การฝึกนิสัยและทักษะในการแสวงหาความรู้ข่าวสาร ดังนั้นในการฝึกผู้เรียนให้สามารถเผชิญสถานการณ์เกิดขึ้นในชีวิตจริงได้นั้น ผู้สอนจึงควรฝึกนิสัยฝึกทักษะในการแสวงหาความรู้เพื่อเป็นการเตรียมตัวในขั้นแรกของการศึกษา

3.   ขั้นระดมเผชิญสถานการณ์   (ฝึกทักษะการประเมินค่า)
การฝึกฝนและการเรียนรู้ประสบการณ์ขั้นนี้เป็นขั้นตอนของการผจญปัญหา และสถานการณ์ เป็นการนำข่าวสารความรู้ที่ได้มาจัดสรุปประเด็นของข่าวสารไว้อย่างเป็นระเบียบ แล้วประเมินค่าว่าประเด็นไหนถูกต้อง ดีงาม เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง ประเด็นใดบกพร่อง ผิดพลาด ชั่วร้าย ไม่เหมาะสม ไม่ถูกไม่ควร ทำไปจะเกิดผลร้าย หรือเป็นผลดีชั่วครู่ ชั่วยาม เคลือบแฝงความชั่วร้ายเอาไว้

4.  วิจารณ์ความคิด   (ฝึกทักษะการเลือกและการตัดสินใจ)
เมื่อผู้เรียนได้ฝึกการประเมินค่าข้อมูลต่างๆ ไว้หลายๆ ทางแล้วนั้น ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เร้าให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์วิจารณ์ทางเลือกต่าง ๆ  ก่อนตัดสินใจซึ่งมีความสำคัญมาก ผู้เรียนจะต้องรู้

5.  ปรับพฤติกรรม  (ฝึกการปฏิบัติ)
การปฏิบัติการเรียนรู้ประสบการณ์เรียนรู้ขั้นนี้ เป็นขั้นตอนของการเผด็จการ คือ การลงมือแก้ปัญหา และเผชิญสถานการณ์จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี

6. สรุปและการประเมินผล

ขั้นตอนี้เป็นการนำสาระและกิจกรรมของบทเรียนนับแต่เริ่มต้น มาสรุปย้ำ ซ้ำ ทวนตรวจสอบ โดยวิธีที่ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อนผู้เรียนประเมินซึ่งกันและกัน การประเมินผู้เรียนและวัดผลการเรียนการสอน


2.รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการพัฒนาโดย สมุน อมรวิวัฒน์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สุมน อมรวิวัฒน์

      ในปีพ.ศ.2526สมุน อมรวิวัฒน์ นักการศึกษาไทยผู้มีชื่อเสียงและมีผลงานทางการศึกษาจำนวนมากได้นำแนวคิดจากหนังสือพุทธธรรม ของพระราชณวรมุณีเกี่ยวกับการสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการมาสร้างเป็นหลักการและขั้นตอนการสอนตามแนวพุทธะวิธีขึ้น  รูปแบบการเรียนการสอนนี้พัฒนาขึ้นจากหลักการที่ว่าครูเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถจัดสภาพแวดล้อม แรงจูงใจและวิธีการสอนให้สิทธิ์เกิดศรัทธาที่จะเรียนรู้การฝึกฝนวิธีการคิดโดยแยบคายและนำไปสู่การปฏิบัติจนประจักษ์จริง โดยครูทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรช่วยให้สิทธิ์มีโอกาสคิดและแสดงออกอย่างถูกวิธี และสามารถพัฒนาให้สิทธิ์เกิดปัญญาและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม (สมุน อมรวิวัฒน์.2533,161)

✋วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
    รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความสามารถในการคิด(โยนิโสมนสิการ) การตัดสินใจและการแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน

✋กระบวนการการเรียนการสอนของรูปแบบ
  1ขั้นนำการสร้างเจตคติที่ดีต่อครูวิธีการเรียนและบทเรียน
  • 1.1จัดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสมได้แก่เหมาะสมและระดับชั้นของวัยผู้เรียนวิธีการเรียนการสอนและเนื้อหาของบทเรียน
  • 1.2การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับศิษย์ครูเป็นกัลยาณมิตรมาเห็นครูทำตนให้เป็นที่เคารพรักของสิทธิ์โดยมีบุคลากรที่ดีสะอาดแจ่มใสและสำรวมมีสุขภาพจิตดีมีความมั่นใจในตนเอง
  • 1.3การเสนอสิ่งเร้าและแรงจูงใจ
  • ก.ใช้สื่อการเรียนการสอนหรืออุปกรณ์และวิธีการต่างๆเพื่อเราความสนใจเช่นการจัดป้ายทรรศ  การนิเทศ เสนอเอกสารภาพ กรณีปัญหากรณี  ตัวอย่างสถานการณ์จำลอง เป็นต้น
  • ข.จัดกิจกรรมขั้นนำที่สนุกน่าสนใจ
  • ค.สิทธิ์ได้ตรวจสอบความรู้ความสามารถของตนและได้รับทราบผลทันที  

  2.ขั้นสอน
  • 2.1ครูเสนอปัญหาที่เป็นสาระสำคัญของบทเรียนหรือเสนอหัวข้อเรื่องประเด็นสำคัญของบทเรียนวิธีต่างๆ
  • 2.2ครูแนะนำแหล่งวิทยาการและแหล่งเรียนรู้
  • 2.3 ครูฝึกการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงความรู้และหลักการโดยใช้ทักษะที่เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เช่น  ทักษะทางวิทยาศาสตร์  ทักษะทางสังคม
  • 2.4ครูจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดลงมือค้นคว้าวิเคราะห์และสรุปความคิด
  • 2.5ครูฝึกการสรุปประเด็นของข้อมูล ความรู้ และเรียบเรียงเพื่อประเมินค่าโดยวิธีการเปลี่ยน ความคิดทดลอง ทดสอบ จะเป็นทางเลือกและ ทางออกของการแก้ปัญหา
  • 2.6สิทธิ์ดำเนินการเลือกและตัดสินใจ
  • 2.7สิทธิ์ทำกิจกรรมเพื่อปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ผลการเลือกและการตัดสินใจ

   3.ขั้นสรุป
  • 3.1 ครูและศิษย์รวบรวมข้อมูลจากการสังเกตุ การปฏิบัติทุกขั้นตอน
  • 3.2 ครูและศิษย์อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้
  • 3.3 ครูและศิษย์สรุปผลการปฏิบัติ
  • 3.4 ครูและศิษย์สรุปบทเรียน
  • 3.5 ครูวัดและประเมินผลการเรียนการสอน

  ✋ ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะได้พัฒนาทักษะในการคิดการตัดสินใจและการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม


3.รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดเป็นเพื่อดำรงชีวิตในสังคมไทยพัฒนา โดยหน่วยศึกษา นิเทศก์ กรมสามัญศึกษา

    หน่วยศึกษานิเทศกรมสามัญศึกษาได้พัฒนารายวิชา"การคิดเป็นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมไทย"ขึ้น เพื่อพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษาให้สามารถคิดไปเลยรู้จักเข้าใจตนเองรายวิชาประกอบด้วยเนื้อหา3เรื่อง คือ 1.การพัฒนาความคิดสติปัญญา 2.การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมสัจธรรม
3.การพัฒนาอารมณ์ความรู้สึก

    👊วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
    รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนากระบวนการคิดให้ผู้เรียนสามารถคิดเป็นคือคิดโดยพิจารณาข้อมูล3ด้านได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลทางวิชาการเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข

👊กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่1 ขั้นสืบค้นปัญหาเผชิญสถานการณ์ในวิธีการดำรงชีวิต
       ผู้สอนอาจนำเสนอสถานการณ์ในการดำรงชีวิตผู้สอนอาจนำเสนอสถานการณ์ให้ผู้เรียนสืบค้นปัญหาหรืออาจจะใช้สถานการณ์และปัญหาจริงที่ผู้เรียนประสบมาในชีวิตตนเองหรือผู้สอนอาจจัดเป็นสถานการณ์จำลองหรือนำผู้เรียนไปเผชิญสถานการณ์นอกห้องเรียนก็ได้สถานการณ์ที่ใช้ในการศึกษาอาจเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวกับตนเองสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นหลักวิชาการก็ได้เช่นสถานการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม ครอบครัว การเรียน การทำงานและสภาพแวดล้อมเป็นต้น

ขั้นที่2. ขั้นรวบรวมข้อมูลและผสมผสานข้อมูล2ด้าน.  
    เมื่อค้นพบปัญหาแล้วให้ผู้เรียนศึกษาข้อมูลความรู้ต่างๆที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์นั้นโดยรวบรวมข้อมูลที่มีให้ครบทั้ง3ด้านคือด้านที่เกี่ยวกับตนเองสังคมและสิ่งแวดล้อมและด้านหลักวิชาการ

ขั้นที่3 ขั้นการตัดสินใจอย่างมีเป้าหมาย
    เมื่อมีข้อมูลพร้อมแล้วให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาโดยพิจารณา ไตร่ตรองถึงผลที่เกิดขึ้นกับตนเองผู้อื่นและสังคมโดยรวมและตัดสินใจ  โดยเลือกทางที่ดีที่สุดคือทางที่เป็นเพื่อไปเกื้อกูลต่อชีวิตทั้งหลาย

ขั้นที่4 ขั้นปฏิบัติและตรวจสอบ
    เมื่อตัดสินใจเลือกแนวทางปฏิบัติได้แล้วให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองหรือร่วมมือกับกลุ่มตามแผนงานที่กำหนดไว้อย่างพากเพียรไม่ย่อท้อ

ขั้นที่5  ขั้นประเมินผลและวางแผนพัฒนา
     เมื่อปฏิบัติตามแผนงานที่กำหนดไว้ลุล่วงแล้วให้ผู้เรียนประเมินผลการปฏิบัติว่าการปฏิบัติประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใดมีปัญหาอุปสรรคอะไรและเกิดผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง และการวางแผนที่จะพัฒนาปรับปรุง การปฏิบัติให้ดีนั้นได้ผลสมบูรณ์ขึ้นหรือวางแผนงานในการพัฒนาเรื่องใหม่ต่อไป

  👊ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
หน่วยศึกษานิเทศกรมสามัญศึกษาได้ทดลองใช้รูปแบบดังกล่าวในการสอนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาแล้วพบว่าผู้เรียนมีความสามารถในการคิดเป็นความสามารถแก้ปัญหาต่างๆมีความเข้าใจในตนเองและผู้อื่นมากขึ้นเข้าใจระบบความสัมพันธ์ในสังคมและเกิดทักษะและเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต


4.รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง:โมเดลซิปปา(CIPPA)  
พัฒนาโดย ทิศนา แขมมณี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทิศนา แขมมณี
ทฤษฎีหรือหลักการแนวคิด ของรูปแบบ

    รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (Cippa  Model) หรือรูปแบบการประสานห้าแนวคิด  ได้พัฒนาขึ้นโดย ทิศนา  แขมมณี   รองศาสตราจารย์ประจำคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ซึ่งได้พัฒนารูปแบบจากประสบการณ์ในการสอนมากว่า  30  ปี และพบว่าแนวคิดจำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา  จึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกันเกิดเป็นแบบแผนขึ้น แนวคิดดังกล่าวได้แก่  

  • 1. แนวคิดการสร้างความรู้ 
  • 2. แนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ 
  • 3. แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้
  • 4. แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้
  • 5. แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนความรู้


    เมื่อนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนพบว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ครบทุกด้าน  ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย  อารมณ์  สติปัญญาและสังคม  โดยหลักการของโมเดลซิปปา ได้ยึดหลักการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  ในตัวหลักการคือการช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้  ช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด  มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและได้เรียนรู้จากกันและกัน  มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้  ความคิดเห็นและประสบการณ์  ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ   ร่วมกับการผลิตผลงานซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายและสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้นักเรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิด  Constructivism  (ทิศนา  แขมมณี, 2542 )

    แนวคิดทั้ง 5 เป็นที่มาของแนวคิด "CIPPA" ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด โดยการให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง จากแนวคิดข้างต้น สรุปเป็นหลักซิปปา (CIPPA) ได้ดังนี้

1.  C มาจากคำว่า Construction of knowledge👀
    หลักการสร้างความรู้ หมายถึง การให้ผู้เรียนสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructivism ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นประสบการณ์เฉพาะตนในการสร้างความหมายของสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง ซึ่งการที่ผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนี้เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา

2.  I มาจากคำว่า Interaction👀
    หลักการปฏิสัมพันธ์ หมายถึง การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งตามทฤษฎี Constructivism และ Cooperative Learning เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่บุคคลจะต้องอาศัยและพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกัน กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคล และแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม

3.  P มาจากคำว่า Process Learning👀
   หลักการเรียนรู้กระบวนการ หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่างๆ เพราะทักษะกระบวนการเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสาระ (Content) ของการเรียนรู้ กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ เช่น กระบวนการคิด กระบวนการทำงาน กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม ฯลฯ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ตลอดชีวิต รวมทั้งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านสติปัญญาอีกทางหนึ่ง

4.  P มาจากคำว่า Physical participation / Involvement👀
   หลักการมีส่วนร่วมทางร่างกาย หมายถึง การให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำกิจกรรมในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางกาย กล่าวคือ การเรียนรู้ต้องอาศัยการเรียนรู้การเคลื่อนไหวทางกายจะช่วยให้ประสาทการรับรู้ "active" และรับรู้ได้ดีดังนั้นในการสอนจึงจาเป็นต้องมีกิจกรรมให้ผู้เรียนต้องเคลื่อนไหวที่หลากหลาย และเหมาะสมกับวัยและความสนใจของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้

5.   A มาจากคำว่า Application👀
    หลักการประยุกต์ใช้ความรู้ หมายถึง การนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ กล่าวคือ การนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงหรือการปฏิบัติจริง จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน ทำให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ และเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้น กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีแต่เพียงการสอนเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนเข้าใจ โดยขาดกิจกรรมการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ จะทำให้ผู้เรียนขาดการเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร การจัด กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้ เท่ากับเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ ด้านแล้วแต่ลักษณะของสาระและกิจกรรมที่จัดนอกจากนี้ การนำความรู้ไปใช้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต เป็นเป้าหมายสำคัญของการจัดการศึกษาและการเรียนการสอน

👍วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
          รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริงโดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม การปฏิสัมพันธ์สังคม และกระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น


👍กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
          ซิปปา (CIPPA) เป็นการหลักซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย ซึ่งอาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้และได้มีการนำไปทดลองใช้แล้วได้ผลดี ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนดังนี้

          ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม
                   ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย

          ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่
                   ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้

          ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม
                   ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม

          ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
                   ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน

          ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้
                   ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย

          ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน
                    หากข้อความรู้ที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนั้นจะเป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย

          ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
                   ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้นๆ

          ขั้นตอนตั้งแต่ขั้นที่ 1-6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (construc-tion of knowledge) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (interaction) และฝึกฝนทักษะกระบวนการต่างๆ (process learning) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมหลากหลายที่มีลักษณะให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อย่างเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPPส่วนขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ (application) จึงทำให้เป็นรูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบตามหลักCIPPA

 👍ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
    ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน สามารถอธิบาย ชี้แจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสาร รวมทั้งเกิดความใฝ่รู้ด้วย
CIPPA Model นอกจากจะเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นตัวชี้วัด หรือเป็นเครื่องตรวจสอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ว่า กิจกรรมนั้นเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือไม่ โดยนำเอากิจกรรมในแผนการสอนมาตรวจสอบตามหลัก CIPPAการจัดการเรียนการสอนแบบCIPPA 
การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้นก็คือ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา สังคมและอารมณ์

    การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมนั้น มิใช่หมายความแต่เพียงว่าให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมอะไรๆ ก็ได้ที่ผู้เรียนชอบ กิจกรรมที่ครูจัดให้ผู้เรียนจะต้องเป็นกิจกรรมที่นำไปสู่การเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ และเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ จึงจะสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี ดังนั้นครูที่จะสอนผู้เรียนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จึงจำเป็นที่จะต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีลักษณะดังนี้

1. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านกาย (Physical Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อช่วยให้ประสาทการรับรู้ของผู้เรียนตื่นตัวพร้อมที่จะรับข้อมูลและการเรียนรู้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น การรับรู้เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ หากผู้เรียนไม่มีความพร้อมในการรับรู้ แม้จะมีการให้ความรู้ที่ดีๆ ผู้เรียนก็ไม่สามารถรับได้ ซึ่งจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่พบได้เสมอๆ คือ หากผู้เรียนต้องนั่งนานๆ ไม่ช้า ผู้เรียนอาจหลับไป หรือคิดไปเรื่องอื่นๆ ได้ การเคลื่อนไหวทางกาย มีส่วนช่วยให้ประสาทรับรู้ตื่นตัว พร้อมที่จะรับและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี ดังนั้นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียน จึงควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสมกับวัยและระดับความสนใจของผู้เรียน

2. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา (Intellectual Participation) คือเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาหรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นกิจกรรมที่ท้าทายความคิดของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความจดจ่อในการคิด สนุกที่จะคิด ดังนั้น กิจกรรมจะมีลักษณะดังกล่าวได้ ก็จะต้องมีเรื่องให้ผู้เรียนคิด โดยเรื่องนั้นจะต้องไม่ง่ายและไม่ยากเกินไปสำหรับผู้เรียน เพราะถ้าง่ายเกินไป ผู้เรียนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด แต่ถ้ายากเกินไป ผู้เรียนก็จะเกิดความท้อถอยที่จะคิด ดังนั้นครูจึงต้องหาประเด็นที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดหรือลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

3. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม (Social Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่อาศัยรวมกันอยู่เป็นหมู่คณะ มนุษย์โดยทั่วไปจะต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับบริบทต่างๆ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งจะส่งผลถึงการเรียนรู้ทางด้านอื่นๆ ด้วย ดังนั้น กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี จึงควรเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย

4. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางอารมณ์ (Emotional Participation) คือ กิจกรรมที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้นั้นเกิดความหมายต่อตนเอง กิจกรรมที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้เรียนนั้น มักจะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ประสบการณ์ และความเป็นจริงของผู้เรียน จะต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้เรียนโดยตรงหรือใกล้ตัวผู้เรียน



วิดิโอที่เกี่ยวข้อง



👨2.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา👩

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

      เลือกสรรมา5รูปแบบครอบคลุมทั้งระดับการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา รวมทั้งอาชีวะศึกษา ดังนี้
  • 2.1 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการกิจกรรมทางกายในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กก่อนประถมศึกษาพัฒนาโดยเตือนใจ ทองสำริด
  • 2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบทเพื่อส่งเสริมความใฝ่รู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา  พัฒนาโดย วิโรจน์. วัฒนานิมิตกูล
  • 2.3 รูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาตตามแนวคิดและทฤษฎีคอนสตัรคติวิสต์ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาพัฒนาโดย ไพจิตร สะดวกการ
  • 2.4 รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการสำหรับนักศึกษาไทยระดับอุดมศึกษา พัฒนาโดยพิมพันธ์ เวสสะโกศล
  • 2.5 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นปฏิบัติสำหรับครูวิชาอาชีพพัฒนาโดย นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์


2.1 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการกิจกรรมทางกายในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กก่อนประถมศึกษาพัฒนาโดย เตือนใจ ทองสำริด

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


  👽ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
    เตือนใจ ทองสำริด. อาจารย์ประจำสถาบันราชภัฎสวนสุนันธาได้วิจัยเรื่องนี้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตโดยใช้แนวคิดของเดอว์ริสซึ่งเป็นแนวคิดที่มีต้นกำเนิดมาจากแนวคิดของวีก็อทสกี้วิธีการกิจกรรมทางกายเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้เรียนกิจกรรมทางกายซึ่งอาจเป็นการเคลื่อนไหวโดยการใช้กล้ามเนื้อใหญ่หรือกล้ามเนื้อเล็กในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งและใช้ประสาทสัมผัสสังเกตหรือปฏิกิริยาของสิ่งที่ถูกกระทำนั้น ซึ่งเป็นผลจากการสังเกตทำให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการทางสติปัญญาโดยผู้เรียนสร้าง(construct)ความคิดหรือความรู้ด้วยตนเองซึ่งความคิดหรือความรู้ในระดับอนุบาลจะเกิดขึ้นโดยการรับรู้(perceive)หรือรู้สึก(feel)เท่านั้นหมายถึงการอธิบายเหตุผล

👽วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
   รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการจัดกิจกรรมทางกายในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กก่อนประถมศึกษา มีวัตถุประสงค์สำคัญที่จะสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาควบคู่กับการส่งเสริมพัฒนาการทางกายอารมณ์และสังคมของเด็กก่อนประถมศึกษา

👽กระบวนการการเรียนการสอนของรูปแบบ
1.ขั้นการสร้างสถานการณ์ปัญหาและแนะนำอุปกรณ์
1.1คู่สนทนาและจัดกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้นักเรียนเกิดปัญหาหรือข้อสงสัย
1.2ครูถามให้นักเรียนทำนายคำตอบปัญหาหรือสงสัยนั้นทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกคิดและเป็นการกระตุ้นให้เนี่ยสนใจกระตือรือร้นที่จะค้นหาคำตอบ
1.3 แนะนำอุปกรณ์และวิธีการหาคำตอบ

2.ขั้นสำรวจตรวจค้นและชักจูง
2.1นักเรียนกระทำหรือเล่นสิ่งของเพื่อค้นหาคำตอบของปัญหาหรือสงสัยด้วยตนเอง
2.2ครูเข้าไปซักถามหรือชักนำเกี่ยวกับเหตุและผลของการกระทำในการเล่นของข้อ 2.1

3.คำขยายประสบการณ์
3.1ครูให้เด็กกระทำเล่นสิ่งของที่แตกต่างจากเดิมเพื่อได้ประสบการณ์ที่หลากหลายโดยทำให้เกิดมโนทัศน์หรือความรู้อย่างเดียวกันกับการกระทำหรือการเล่นในขั้นตรวจสอบหรือชักจูง
3.2ครูเข้าไปซักถามหรือชักนำเกี่ยวกับเหตุและผลของการกระทำหรือการเล่น

4.ขั้นสรุปและประเมินผล
 ครูซักถามเพราะการกระทำหรือการเล่นสิ่งของเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับคำตอบของปัญหาหรือข้อสงสัยร่วมกันโดยเน้น ให้ผู้เรียนเกิดตอบคำถามไม่ใช่ครูเป็นผู้บรรยายสรุปเอง ทั้งนี้จะทำให้ครูสามารถประเมินผลการสอนไปพร้อมๆกันด้วย

👽ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
  รูปแบบนี้ไปใช้ทดลองกับนักเรียนชั้นอนุบาล2จำนวน2กลุ่ม.พบว่าคะแนนมโนทัศน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนทั้งสองกลุ่มมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีในยะสำคัญทางสถิติระดับ.01 และหลังการทดลอง2สัปดาห์ พบว่าความคงทนของมโนทัศน์ดังกล่าวมีค่าสูงเกินกว่าร้อยละ 95ของค่าเฉลี่ยของคะแนนมโนทัศน์ ที่วัดทันทีหลังการทดลอง นอกจากนั้นยังพบว่า นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนและสนในสื่อมาก



2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบทเพื่อส่งเสริมความใฝ่รู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา  พัฒนาโดย วิโรจน์. วัฒนานิมิตกูล
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


    👉  พัฒนาพร้อมทั้งประเมินรูปแบบการสอน โดยใช้สาระอิงบริบทเพื่อส่งเสริมความใฝ่รู้ ของนักเรียนระดับประถมศึกษา และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดเทพประสิทธิ์คณาวาส จำนวน 30 คน ที่มีระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนสูง ปานกลางและต่ำ ระดับละ 10 คน กลุ่มตัวอย่างในแต่ละระดับได้รับการสุ่ม ระดับละ 5 คน เข้าในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มทดลองเรียนด้วยรูปแบบการสอนโดยใช้สาระอิงบริบท เพื่อส่งเสริมความใฝ่รู้ที่พัฒนาขึ้น

 👉 ส่วนกลุ่มควบคุมเรียนด้วยรูปแบบการสอนแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า
 1. รูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น สามารถส่งเสริมความใฝ่รู้แก่นักเรียน ด้วยการนำเสนอสาระอิงบริบท ซึ่งเป็นจุดรวมของเนื้อหาสำคัญของบทเรียนที่มีความครอบคลุม ซับซ้อนและน่าสนใจเพียงพอที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียน กำหนดประเด็นค้นคว้าและดำเนินการค้นคว้าด้วยวิธีการต่างๆ แล้วสรุปเชื่อมโยงความรู้ที่ได้รับกับสาระอิงบริบทเดิม และสามารถนำความรู้ที่ได้ทั้งหมด ไปใช้ในการกำหนดประเด็นค้นคว้าใหม่ต่อไป

2. นักเรียนกลุ่มทดลองมีทักษะการแสวงหาความรู้ สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม นักเรียนกลุ่มทดลองมีทักษะการแสวงหาความรู้หลังการทดลอง สูงกว่าก่อนการทดลอง และมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการสอนตามรูปแบบการสอน กับระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนต่อทักษะการแสวงหาความรู้ ซึ่งเมื่อทดสอบในแต่ละระดับพบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมีทักษะการแสวงหาความรู้ สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมในแต่ละระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียน ทุกระดับ

3.นักเรียนกลุ่มทดลองมีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้ สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม และนักเรียนกลุ่มทดลองมีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้หลังการทดลอง สูงกว่าก่อนการทดลอง แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการสอนตามรูปแบบการสอน กับระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนต่อเจตคติต่อการแสวงหาความรู้ ซึ่งเมื่อทดสอบรายคู่พบว่า นักเรียนที่มีระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนสูง มีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้สูงกว่า นักเรียนที่มีระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนปานกลางและต่ำ และนักเรียนที่มีระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนปานกลาง มีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้สูงกว่า นักเรียนที่มีระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนต่ำ เมื่อทดสอบในแต่ละระดับพบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้ สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมในแต่ละระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียน ทุกระดับ

4.นักเรียนกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตหลังการทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม



2.3 รูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาตตามแนวคิดและทฤษฎีคอนสตัรคติวิสต์ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาพัฒนาโดย ไพจิตร สะดวกการ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสอนคณิต มัธยม การ์ตูน


  ×หลักการและเป้าหมาย ×
จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสม์ มุ่งพัฒนานักเรียนได้มีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยครูผู้สอนเป็นผู้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้นักเรียนได้เผชิญกับสถานการณ์ปัญหาที่สัมพันธ์กับเนื้อหาของบทเรียนและสอดคล้องกับชีวิตประจำวัน นักเรียนได้แก้ปัญหาเป็นรายบุคคลด้วยวิธีที่หลากหลาย เนื่องจากข้อมูลความรู้ที่มีอยู่เดิมไม่เพียงพอหรือไม่สอดคล้องกับปัญหาที่ได้รับ ทำให้เกิดการพิจารณาไตร่ตรองหาข้อมูลมาเพิ่มเติม โดยการอธิบาย ถกเถียงแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน

  การจัดสถานการณ์ให้เกิดการสร้างความรู้นี้ ทำให้นักเรียนได้นำความรู้เดิมมาเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ มีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเองจึงเป็นความรู้ที่มีความหมายสำหรับนักเรียน ครูผู้สอนเป็นเพียงผู้กระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการคิดค้นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือชี้แนะ

  ÷องค์ประกอบ÷
 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสม์ที่สังเคราะห์ขึ้น มีดังนี้ 

1 .ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 
ซึ่งเป็นขั้นตอนการเตรียมความพร้อมของนักเรียน โดยการทบทวนความรู้เดิมและพยายามกระตุ้นให้นักเรียนระลึกถึงประสบการณ์เดิมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้อหาใหม่ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสร้างสถานการณ์ ยกตัวอย่าง ใช้เกม ใช้คำถาม ฯลฯ เพื่อเป็นแรงจูงใจในการเรียนเนื้อหาใหม่และเพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญา ครูผู้สอนจะต้องค้นหาและระลึกถึงความรู้และประสบการณ์เดิมของนักเรียน เพราะถ้านักเรียนสามารถระลึกถึงประสบการณ์เดิมได้มากนักเรียนจะมีข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่หลากหลายได้มาก ดังนั้นนักเรียนจะต้องแสดงออกมาให้ครูผู้สอนเห็นว่าแต่ละคนมีความรู้พื้นฐานเดิมในเรื่องที่เรียนมากน้อยเพียงใดเพื่อเป็นการทดสอบความคิดรวบยอดความรู้เดิมที่สัมพันธ์กับเนื้อหาใหม่ หลังจากนั้นครูผู้สอนแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ


2 .ขั้นสอน
2.1 ขั้นเผชิญสถานการณ์ปัญหา ซึ่งเป็นแก้ปัญหาเป็นรายบุคคล ครูผู้สอนเสนอสถานการณ์ที่เป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับบทเรียนและสอดคล้องกับชีวิตประจำวัน เหมาะสมกับวัยและความสามารถของนักเรียนเป็นแรงจูงใจให้นักเรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งนักเรียนทำความเข้าใจสถานการณ์ปัญหาและหาแนวทางในการแก้ปัญหา โดยใช้สื่อที่เป็นรูปธรรมที่ครูผู้สอนเตรียมให้ ครูผู้สอนกระตุ้นให้นักเรียนพยายามสำรวจหาวิธีการแก้ปัญหาที่หลากหลายเป็นรายบุคคล โดยใช้คำถามในลักษณะสร้างสรรค์ ซึ่งทำให้นักเรียนนำความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องที่เคยเรียนมาใช้ในการแก้ปัญหา

2.2 ขั้นกิจกรรมไตร่ตรองระดับกลุ่มย่อย เป็นขั้นตอนที่สมาชิกในกลุ่มย่อย เสนอแนวทางแก้ปัญหาของตนเองที่อาจเป็นไปได้ต่อกลุ่มย่อย ครูผู้สอนจะต้องพยายามกระตุ้นให้นักเรียนสะท้อนความคิดออกมา เพราะการสะท้อนความคิดเป็นการแสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจของนักเรียนว่ามีมากน้อยเพียงใด ที่ช่วยให้สมาชิกเห็นแนวทางแก้ปัญหาของคนอื่นมากยิ่งขึ้น โดยใช้สื่อรูปธรรม ทดลองและปฏิบัติให้เห็นจริงมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน จากนั้นให้เพื่อนๆช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องความสมเหตุสมผลจากการได้ปฏิบัติจริง มีการนำวิธีการของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มมาลองใช้กับสถานการณ์ตัวอย่าง ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีวิธีการที่แตกต่างกัน ดังนั้นในแต่ละกลุ่มอาจมีวิธีการในการแก้ปัญหามากกว่า 1 วิธี เพื่อเสนอต่อทั้งชั้น

2.3 เสนอแนวทางแก้ปัญหาต่อทั้งชั้นเป็นขั้นตอนที่กลุ่มย่อยเสนอแนวทางการแก้ปัญหาและแสดงให้เห็นจริงถึงความสมเหตุสมผล ในขั้นนี้กลุ่มย่อยจะมีส่วนช่วยทำให้ทุกคนมีความพร้อมที่จะนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่อทั้งชั้น พร้อมทั้งตอบข้อซักถามและชี้แจงเหตุผล นักเรียนทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการอภิปรายและตรวจสอบถึงความถูกต้องและเหมาะสมในแนวทางการแก้ปัญหาประเมินทางเลือกถึงข้อดีข้อจำกัดของแต่ละทางเลือกและสรุปแนวทางเลือกทั้งหมด เพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์อื่นๆ ซึ่งครูผู้สอนต้องพร้อมที่จะรับฟังความหลากหลายและการให้เหตุผลที่แปลก ซึ่งอาจจะช่วยให้นักเรียนคนอื่นๆเกิดความเข้าใจมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ ครูผู้สอนไม่ควรปฏิเสธคำตอบหรือคำอธิบายของนักเรียนควรให้โอกาสนักเรียนที่ตอบคลาดเคลื่อนไปจากความคาดหวังของครูผู้สอน อาจเป็นอีกทางหนึ่งที่นักเรียนได้สร้างขึ้นและช่วยให้ครูผู้สอนได้มีโอกาสตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนและถ้าครูผู้สอนมีวิธีการอื่นๆนอกเหนือจากที่นักเรียนนำเสนอไปแล้วแต่นักเรียนไม่ได้นำเสนอครูผู้สอนสามารถเพิ่มเติมได้อีก


3 .ขั้นสรุปนักเรียนร่วมกันสรุปหลักการและกระบวนการแก้ปัญหา 
ในเรื่อง ที่เรียนและครูผู้สอนช่วยเสริมแนวคิดหลักการความคิดรวบยอดและกระบวนการแก้ปัญหาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


4 .ขั้นฝึกทักษะและนำไปใช้
เป็นขั้นที่ให้นักเรียนฝึกทักษะจากใบงานที่ครูผู้สอนสร้างขึ้นที่มีสถานการณ์ที่หลากหลายหรือที่นักเรียนสร้างสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์เดิม นักเรียนเลือกทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาและสามารถอธิบายวิธีแก้ปัญหาของตนเองได้ โดยให้เพื่อนในกลุ่มช่วยกันตรวจสอบคำตอบที่ถูกต้องจากบัตรเฉลย นักเรียนแต่ละคนอาจจะเลือกใช้วิธีการในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ซึ่งการฝึกทักษะจะช่วยให้นักเรียนมีความคงทนในการจำและเกิดความคล่องแคล่วแม่นยำรวดเร็วและพัฒนาความคิดอย่างมีเหตุผล ครูผู้สอนจะต้องดูแลและให้ความช่วยเหลือในกรณีที่นักเรียนเกิดความขัดแย้งหาข้อสรุปไม่ได้ จากนั้นให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดจากบทเรียน


5. ขั้นประเมินผล
ขั้นนี้จะประเมินผลจากการทำใบงาน จากการทำแบบฝึกหัดในบทเรียนและจากสถานการณ์ที่นักเรียนสร้างขึ้น นอกจากนั้นครูผู้สอนอาจใช้การสังเกตในการร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน เพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความรู้ของนักเรียนในเรื่องที่เรียนว่านักเรียนมีความรู้ความสามารถตามเกณฑ์ที่ได้ตั้งไว้หรือไม่มากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นข้อมูลในการสอนซ่อมเสริมให้กับนักเรียนที่ยังไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ก่อนที่จะทำการสอนเนื้อหาอื่นๆต่อไป

+กรอบแนวคิดในการวิจัยและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสม์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น  ได้ขั้นตอนตามภาพประกอบ+




2.4 รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการสำหรับนักศึกษาไทยระดับอุดมศึกษา พัฒนาโดยพิมพันธ์ เวสสะโกศล

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


  👻 แนวคิดของรูปแบบ
    รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการนี้เป็นผลงานเฮียนิพนธ์ระดับ. สดีบัณฑิตของพิมพันธ์ เวสสะโกศล(2533)อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งพัฒนารูปแบบนี้จากแนวคิดพื้นฐานที่ว่าการเขียนเป็นกระบวนการทางสติปัญญาและภาษา(intellectual-linguistic)การเรียนการสอนจึงมุ่งเน้นที่กระบวนการทั้งหลายที่ใช้ในโครงสร้างการเขียนการสอนควรเป็นการแนะนำวิธีการสร้างและการเรียบเรียงความคิดมากกว่าจะเป็นการสอนรูปแบบและโครงสร้างของภาษา กระบวนการที่ผู้เรียนควรพัฒนานั้นเริ่มตั้งแต่ก่อนการเขียนซึ่งประกอบด้วยทักษะการสร้างความคิดการค้นหาข้อมูลและการวางแผนการเรียบเรียงข้อมูลที่จะนำเสนอ
    ส่วนในขณะที่เขียนได้แก่การร่างานเขียนซึ่งต้องอาศัยกระบวนการคิดให้เป็นความที่ต่อเนื่องสำหรับการแก้ไขปรับปรุงร่างที่1ให้เป็นงานเขียนระดับสมบูรณ์นั้น ผู้เขียนจำเป็นต้องมีการแก้ไขเนื้อหาให้สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนและมีการแก้ไขภาษาทั้งด้านความถูกต้องของไวยากรณ์และการเลือกใช้คำ

   👻วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
  รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถเขียนภาษาอังกฤษได้รับข้อความได้โดยข้อความนั้นสามารถสื่อความหมายได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ และเป็นข้อความที่ถูกต้องทั้งหลักการใช้ภาษาและหลักการเขียนนอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาความสามารถในการใช้กระบวนการคิดในการสร้างงานเขียนได้ดีด้วย
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ

   ขั้นที่1 ขั้นก่อนการเขียน
1.1. การแจกแจงความคิดผู้สอนแนะนำให้ผู้เรียนคิดเชื่อมโยงหัวข้อที่เกี่ยวข้องจะเขียนกับแนวความคิดต่างๆเพื่อให้ได้ข้อมูลในการเขียน
1.2การค้นคว้าข้อมูลจากการอ่านโดยให้ผู้อ่านเขียนที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะเขียนและศึกษาแนวคิดของผู้เขียนตลอดจนการใช้ศัพท์สำนวนที่ใช้
2.การเรียบเรียงข้อมูล
2.1. ผู้เรียนศึกษาหลักการเรียบเรียงจากข้อเขียนตัวอย่าง
2.2. จากข้อมูลที่ได้เสนอในข้อ 1 ผู้เรียนคัดเลือก. เน้นและข้อมูลที่ต้องการนำเสนอ
3.การเรียนรู้ภาษาเป็นการสร้างความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างภาษาและศัพท์ที่จะนำมาใช้ในการเขียน

   ขั้นที่2 ขั้นร่างงานเขียน
ผู้เรียนเขียนข้อความโดยใช้แผ่นการเขียนที่ได้จัดทำในขั้นที่1เป็นเครื่องชี้แนะ

   ขั้นที่3 ขั้นปรับปรุงแก้ไข
1.การปรับปรุงเนื้อหาผู้เรียนอ่านร่างงานเขียนที่หน้าจากข้อที่สองและอภิปรายเกี่ยวกับเนื้อหาและการเรียบเรียงผู้สอนกำกับควบคุมโดยใช้คำถาม. เพื่อให้กลุ่มอภิปรายไปในทิศทางที่ต้องการคือเน้นที่จะสื่อความหมายของเนื้อหาและวิธีการนำเสนอ
2.การแก้ไขงานเขียนผู้เรียนทำแบบฝึกหัดข้อผิดทางภาษาแล้วจึงปรับปรุงร่างงานเขียนในด้านเนื้อหาตามที่ได้อธิบายในข้อหนึ่งและแก้ไขข้อผิดพลาดทางภาษาโดยมีผู้สอนช่วยเหลือแนะนำ


  👻ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนการสอนตามรูปแบบ.  
  ผลจากการวิจัยพบว่ากลุ่มทดลองที่ใช้รูปแบบนี้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนภาษาอังกฤษสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่เรียนด้วยอาจารย์ใช้วิธีสอนแบบนี้ตรวจงานเขียนอย่างนี้นัยยะสำคัญที่ระดับ.05และผู้วิจัยได้นำเสนอแนวคิดให้รูปแบบนี้ไปประยุกต์ใช้ในการเขียนในระดับอื่นๆด้วย



2.5 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นปฏิบัติสำหรับครูวิชาอาชีพพัฒนาโดย นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

   😈แนวคิดของรูปแบบ
นวลจิตต์ เชาวกีรพงศ์(2535) อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล เป็นผู้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกสาขาวิชาหลักสูตรและการสอนคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาได้รับพิจารณาให้ได้รับรางวัลชมเชยด้านการวิจัยทางการศึกษา ในพ.ศ.2536 นวจจิตต์ ได้พัฒนารูปแบบนี้ เพื่อการเรียนการสอนวิชาชีพสายอื่นๆ.ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นทักษะปฏิบัติโดยอาศัยแนวคิดตามหลักการการเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติ9 ประการ สรุปได้ว่าการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะที่ดีนั้นผู้สอนควรเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์งานที่ให้ผู้เรียนท โดยแบ่งงานออกเป็นส่วนเยอะย่อยและลำดับจากง่ายไปสู่ยากแล้วให้ผู้เรียนได้ฝึกทำงานเยอะย่อยๆแต่คนลงมือทำงานควรให้ผู้เรียนมีความรู้ในงานถึงขั้นเข้าใจในงานนั้นเป็นอย่างน้อย แล้วจึงให้ผู้เรียนฝึกทำงานด้วยตนเองในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับการทำงานจริง ขณะผู้เรียนฝึกอยู่นั้นควรได้รับข้อมูลย้อนกลับเพื่อปรับปรุงงานเป็นระยะระยะและผู้เรียนควรได้รับการประเมินทั้งด้านความถูกต้องของผลงาน ความชำนาญในงานทักษะ. และลักษณะนิสัยในการทำงานด้วย

 😈วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
    รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่ทำ และเกิดทักษะสามารถที่จะทำงานนั้นได้อย่างชำนาญตามเกณฑ์ รวมทั้งมีเจตคติที่ดีลักษณะนิสัยดีในการทำงานด้วย

   😈กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
   มี3ยุทธ์วิธี ดังนี้
  ยุทธ์วิธีที่1 การสอนทฤษฏีก่อนการสอนปฏิบัติ
1.1ขั้นนำเป็นขั้นแนะนำงานและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเห็นคุณค่าในงาน
1.2คันให้ความรู้เป็นขั้นให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานซึ่งทำให้ครูสามารถใช้วิธีการอะไรก็ได้แต่ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามจนกระทั่งผู้เรียนเกิดความเข้าใจ
1.3ขั้นฝึกปฏิบัติเป็นขั้นที่ผู้เรียนลงมือทำงานซึ่งเริ่มจากการให้ผู้เรียนทำตามเลียนแบบต่อไปถึงจำลองให้ทำเองโดยครูคอยสังเกตและให้ข้อมูลป้อนกลับเป็นระยะจนกระทั่งทำได้ถูกต้องแล้วจีงฝึกให้ทำหลายๆครั้งจนชำนาญ
1.4 ขั้นประเมินผลการเรียนรู้เป็นขั้นที่ผู้สอนประเมินทักษะปฏิบัติและลักษณะนิสัยในการทำงานของผู้เรียน
1.5ขั้นประเมินผลความคงทนของการเรียนรู้เป็นขั้นที่ผู้สอนจะรู้ว่าการเรียนของผู้เรียนมีความยั่งยืนหรือไม่หากผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างชำนาญผู้เรียนก็ควรที่จะจำสิ่งเรียนรู้ได้ก็ดี

  ยุทธ์วิธีที่2 หารสอนงานปฏิบัติก่อนสอนทฤษฎี
2.1 ขั้นนำ ปฏิบัติเช่นเดียวกับยุทธ์วิธี1
2.2ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติและสังเกตการณ์ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานมีการสังเกตุการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติดีการสังเกตและจากข้อมูลบันทึกไว้
2.3 ขั้นวิเคราะห์การปฏิบัติและสังเกตการณ์ ร่วมกันวิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติและอภิปรายผลการวิเคราะห์
2.4ขั้นส่งเสริมความ รู้จากผลการวิเคราะห์และอธิบายการปฎิบัติผู้สอนจะทราบว่าควรส่งเสริมความรู้อะไรให้แก่ผู้เรียน
2.5. ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติงานใหม่ เมื่อรู้จุดบกพร่องและได้ความรู้เสริมที่จะช้ายในการแก้ไขข้อบกพร่องแล้วจึงให้ผู้เรียนปฏิบัติงานใหม่อีกครั้ง
2.6. ขั้นประเมินผลการเรียนรู้ ปฏิบัติเช่นเดียวกับยุทธ์วิธี1
2.7ขั้นประเมินผลความคงทนการเรียนรู้ ปฏิบัติเช่นเดียวกับยุทธ์วิธี1

  ยุทธ์วิธีที่3 การสอนทฤษฎีและปฏิบัติไปพร้อมๆกัน
3.1ขั้นนำ
3.2คันให้ความรู้ให้ปฏิบัติและให้ข้อมูลย้อนกลับไปพร้อมๆกัน
3.3ขั้นให้ปฏิบัติงานตามลำพัง
3.4ขั้นประเมินผลการเรียนรู้
3.5ขั้นประเมินผลความคงทนของการเรียนรู้งานปฏิบัติ

ยุทธ์วิธี1 เหมาะสำหรับการสอนเนื้อหาของงานปฏิบัติที่มีลักษณะซับซ้อนหรือเสียงอันตรายและลักษณะเนื้อหาสามารถแยกส่วนทฤษฎีและปฏิบัติได้อย่างชัดเจน
ยุทธ์วิธี2 เหมาะสำหรับเนื้อหาปฏิบัติที่มีลักษณะไม่ซับซ้อนหรือเป็นงานปฏิบัติที่ผู้เรียนเคยมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว เป็นงานที่เสี่ยงต่ออันตรายกับชีวิตน้อย
ยุทธ์วิธี3 เหมาะสำหรับบทเรียนที่มีลักษณะของเนื้อหาภาคทฤษฎี และปฏิบัติที่ไม่สามารถแยกจากกันได้เด็ดขาด

  😈ผลที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 นวจจิตต์ เชาวกีรพงศ์ ได้ทดลองใช้รูปแบบนี้กับอาจารย์และนักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล5 วิทยาเขต เป็นเวลา1ภาคเรียน ในปี2534 ผลการทดลองพบว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านทฤษฎีถึงขั้นความเข้าใจคือได้คะแนนไม่ต่ำกว่า60% และผลสำเร็จในด้านการพัฒนาทักษะระดับที่สามารถปฏิบัติงานให้มีคุณภาพได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องการร่วมพลังได้แสดงปฏิกรรมของการมีลักษณะที่ดีในการทำงานด้วย



👆3.กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน👆
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เด็กนักเรียนไทยไหว้

    👆ในช่วง 3ทศวรรษ ที่ผ่านมานักการศึกษาไทยได้พยายามที่จะเสนอแนวคิดเพื่อการพัฒนาการศึกษาและการเรียนการสอนของให้ตลอดมา แต่เริ่มได้รับการตอบรับจากสังคมเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปการศึกษากันอย่างกว้างขวางในช่วง4-5ปีหลังจากนี้วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปีพ.ศ.2540ได้ทำให้ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมากจึงปรากฏว่านอกจากนักศึกษาแล้วยังมีนักคิดจากองค์การอื่นที่หันมาให้ความสนใจการศึกษาและเสนอแนวคิดต่างๆอย่างรักหลาย ในที่นี้ผู้เขียนได้ประมวลแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนมานำเสนอจำนวน7 กระบวนการ  กระบวนการเหล่านี้แม้ยังไม่ได้รับการนำไปทดลองใช้และทดสอบพิสูจน์อย่างเป็นระบบแต่ก็เป็นกระบวนการที่ได้รับความสนใจจากวงการศึกษาไทยเป็นอย่างมาก กระบวนการดังกล่าว ได้แก่ 

  • 3.1 กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ4 โดยสาโรช บัวศรี
  • 3.2 กระบวนการกัลยาณมิตรโดยสมุน อมรวิวัฒน์
  • 3.3 กระบวนการทางปัญญาโดยประเวศ วสี
  • 3.4 กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
  • 3.5 กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
  • 3.6 มิติและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทิศนา แขมมณีและคณะ
  • 3.7 กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์
  • 3.8 กระบวนการต่างๆโดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษา
  • 3.8.1 ทักษะกระบวนการ9 ขั้น
  • 3.8.2 กระบวนการการสร้างความคิดรวบยอด 
  • 3.8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
  • 3.8.4 กระบวนการการแก้ปัญหา 
  • 3.8.5 กระบวนการการสร้างความตระหนัก
  • 3.8.6 กระบวนการปฏิบัติ
  • 3.8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์ 
  • 3.8.8 กระบวนการการเรียนภาษา
  • 3.8.9 กระบวนการกลุ่ม
  • 3.8.10 กระบวนการการสร้างเจตคติ
  • 3.8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
  • 3.8.12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ



3.1 กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ4 โดยสาโรช บัวศรี
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อริยสัจ สี่
    🙊🙉 ศาสตราจารย์  ดร.สาโรช  บัวศรี  เป็นผู้ริเริ่มความคิด ในการนำหลักพุทธรรมมาใช้ในกระบวนการแก้ปัญหา  โดยประยุกต์หลักอริยสัจ  4  อันได้แก่  ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค  มาใช้ควบคู่กับ “  กิจในอริยสัจ  4”  อันประกอบด้วย  ปริญญา (  การกำหนดรู้ )  ปหานะ  (การละ ) สัจฉิกิริยา ( การทำให้แจ้ง )  และภาวนา ( การเจริญ หรือลงมือปฏิบัติ )  จากหลักการทั้งสอง  ศาสตราจารย์ ดร. สาโรช  บัวศรี ได้เสนอแนะกระบวนการแก้ปัญหาในการเรียนการสอน ดังนี้

               1.ขั้นกำหนดปัญหา  ( ขั้นทุกข์ ) คือการระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข

               2.ขั้นตั้งสมมติฐาน  (ขั้นสมุทัย ) คือ  การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและตั้งสมมุติฐาน

               3.ขั้นทดลอง และ เก็บข้อมูล ( ขั้นนิโรธ ) คือ  การกำหนดวัตุประสงค์และวิธีการทดลอง
                  เพื่อพิสูจน์สมมุติฐานและเก็บรวบรวมข้อมูล             
                                            
               4.ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล  ( ขั้นมรรค ) คือ  การนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุป


3.2 กระบวนการกัลยาณมิตรโดยสมุน อมรวิวัฒน์

        สุมน อมรวิวัฒน์ ได้อธิบายกระบวนการกัลยาณมิตรไปว่าเป็นกระบวนการการประสานสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อจุดหมายทั้ง2ประการคือ 1.ชี้ทางบรรเทาทุกข์ 2.ชี้สุขเกษมศานติ์  กระบวนการกัลยาณมิตรใช้หลักการที่พิสูจน์ว่าเป็นหลักที่ช่วยคนผลทุกข์ได้คือหลักอริยสัจ4 มาใช้ควบคู่กับหลักัลยาณมิตรธรรม7  

   👅ในการจัดการเรียนการสอนซึ่งมีกระบวนการหรือขั้นตอน8 ขั้นดังนี้👅

  • 1.หาสร้างความไว้ใจตามหลักกัลยาณมิตรธรรม7 ได้แก่การที่ผู้สอนวางตนให้เป็นที่น่าเคารพรักมีความรู้และฝึกหัดอบรมปรับปรุงตนอยู่เสมอ. สื่อสารชี้แจงให้สิทธิ์เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง. มีความอดทนพร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษามีความตั้งใจสอนเรื่องความเมตตาช่วยให้ผลจากการทางเสื่อม
  • 2.การกำหนดและจับประเด็นปัญหา(ขั้นทุกข์)
  • 3.การร่วมกันคิดวิเคราะห์เหตุของปัญหา (ขั้นสมุทัย)
  • 4.การจัดลำดับความเข้มของระดับปัญหา(ขั้นสมุทัย)
  • 5.การกำหนดจุดหมายรู้สภาวะพ้นปัญหา(ขั้นนิโรธ)
  • 6.การร่วมกันคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา(ขั้นนิโรธ)
  • 7.การจัดลำดับ. หมายของภาระพ้นปัญหา(ขั้นนิโรธ)
  • 8.การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางที่ถูกต้อง(ขั้นมรรค)

3.3 กระบวนการทางปัญญาโดยประเวศ วสี
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเวศ วะสี

          ประเวศ วะสี ท่านได้เสนอกระบวนการทางปัญญาซึ่งฝึกฝนให้แก่ผู้เรียน
        👴ประกอบด้วยขั้นตอน10ขั้น ดังนี้👴
  • 1.ฝึกสังเกต ให้ผู้เรียนมีโอกาสสังเกตสิ่งต่างๆให้มากให้รู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว
  • 2.ฝึกบันทึก ให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งต่างๆและจดบันทึกได้ละเอียดที่สังเกตเห็น
  • 3.ฝึกการนำเสนอ ต่อที่ประชุมเมื่อผู้เรียนได้ไปสังเกตุหรือทำอะไร
  • 4.ฝึกการฟัง. การฟังช่วยให้ผู้อื่นได้ความรู้มากผู้เรียนจึงควรได้รับฝึกให้เป็นผู้ฟังที่ดี
  • 5.ฝึกปุจฉาวิสัชนา ให้ผู้เรียนฝึกการถามการตอบซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเรื่องที่ศึกษา รวมทั้งได้ฝึกการใช้เหตุผลการวิเคราะห์และการสังเคราะห์
  • 6.การฝึกตั้งสมมุติฐานตั้งคำถาม ให้ผู้เรียนฝึกคิดและตั้งคำถามข้อคำถามเป็นเครื่องมือสำคัญในการได้มาซึ่งความรู้
  • 7.ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามน่าสนใจทานแล้วควรให้ผู้เรียนฝึกค้นหาคำตอบจากแหล่งต่างๆเช่นตำรา อินเตอร์เน็ต
  • 8.ฝึกการวิจัย การวิจัยเป็นกระบวนการหาคำตอบที่ช่วยให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ใหม่
  • 9.ฝึกการเชื่อมโยงบูรณาการ การดำนาการให้เห็นความเป็นทั้งหมดแล้วเห็นตัวเองเมื่อผู้เรียนได้เรียนอะไรมาแล้วควรให้ผู้เรียนเชื่อมโยงถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดและเกิดการรู้ตัวตามความเป็นจริงว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร
  • 10.ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ. หลังจากได้เรียนรู้เรื่องได้แล้วควรให้ผู้เรียนฝึกเรียบเรียงความรู้ที่ได้การเรียบเรียงจะช่วยให้มีความคิดปราณีตขึ้นทำให้ต้องค้นคว้าหาหลักฐานที่มาของความรู้อย่างถี่ถ้วนและแม่นยำ

3.4 กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ชัยอนันต์ สมุทวณิช


        ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการคิดไว้ว่าการที่ของคนเรามีหลายรูปแบบโดยท่านได้ยกตัวอย่างมา 4แบบ และได้อธิบายลักษณะของนักคิดทั้ง4แบบไว้ ซึ่งผู้เขียนจะขอนำมาประยุกต์เป็นแนวทางในการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดของผู้เรียนได้ดังนี้

  • 1.การคิดแบบนักวิเคราะห์ (analytical ) ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้พัฒนาความสามารถในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึก ให้ผู้เรียนแสวงหาข้อเท็จจริง ดูตรรกะ ดูทิศทาง หาเหตุผล และมุ่งแก้ไขปัญหา
  • 2.การคิดรวบยอด(Conceptual) ผู้สอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดว่าถ้าในสมองสร้างความคิดใหม่จากข้อมูลที่ถูกต้องแน่นอน
  • 3.การคิดแบบโครงสร้าง(stuctural thinking) การฝึกให้ผู้เรียนแยกแยะส่วนประกอบศึกษาส่วนประกอบและเชื่อมโยงข้อมูลจัดเป็นโครงสร้างทำให้ผู้เรียนมีการคิดอย่างเป็นระบบ
  • 4.การคิดแบบผู้นำสังคม(social thinking ). การฝึกให้ผู้เรียนปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับผู้อื่นทำตนเป็นผู้อำนวยความสะดวก. ฝึกทักษะกระบวนการทำงานร่วมกันเป็นทีมและฝึกให้คิด3ด้านที่เรียกว่า "PMI" คือด้านบวก(plus) ด้านลบ(minus)และด้านที่ไม่บวกไม่ลบ แต่ไม่สนใจ(interesting)

3.5 กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์

    เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนาและนักคิดคนสำคัญของประเทศและธิบายว่าหากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาต่อไปได้โดยไม่เสียเปรียบ. ไม่ถูกหรอกได้และสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้คนไทยคิดเป็น. คือรู้จักวิธีการที่ถูกต้องและทำได้เสนอแนะว่าควรมีการพัฒนาความสามารถในการคิด10มิติ ให้แก่คนไทยโดยท่านให้ความหมายของการคิดดังกล่าวว่าผู้เขียนขอประยุกต์มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสำหรับครูเพื่อชนะผู้เรียนดังนี้

  มิติที่1 การคิดเชิงวิพากย์ (Critical Thinking) หมายถึง ความตั้งใจที่จะพิจารณาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยการไม่เห็นคล้อยตามข้อเสนออย่างง่ายๆ แต่ตั้งคำถามท้าทาย หรือโต้แย้งสมมติฐาน และข้อสมมติที่อยู่เบื้องหลัง และพยายามเปิดแนวทางความคิด ออกลู่ทางต่างๆ ที่แตกต่างจากข้อเสนอนั้น เพื่อให้สามารถได้คำตอบที่สมเหตุสมผล มากกว่าข้อเสนอเดิม

  มิติที่2 การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking) หมายถึง การจำแนกแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ของสิ่งที่เกิดขึ้น

  มิติที่3 การคิดเชิงสังเคราะห์ (Synthesis-Type Thinking) หมายถึง ความสามารถในการดึงองค์ประกอบต่างๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

  มิติที่4 การคิดเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Thinking) หมายถึง การพิจารณาเทียบเคียงความเหมือน และ/หรือ ความแตกต่าง ระหว่างสิ่งนั้น กับสิ่งอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สามารถอธิบายเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการคิด การแก้ปัญหา หรือการหาทางเลือดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

  มิติที่5 การคิดเชิงมโนทัศน์ (Conceptual Thinking) หมายถึง ความสามารถในการประสานข้อมูลทั้งหมด ที่มีอยู่ เกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใด ได้อย่างไม่ขัดแย้ง แล้วนำมาสร้างเป็นความคิดรวบยอด หรือกรอบความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น

  มิติที่6 การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) หมายถึง การขยายขอบเขตความคิดออกไป จากกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่ สู่ความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อค้นหาคำตอบที่ดีที่สุด ให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น

  มิติที่7 การคิดเชิงประยุกต์ (Applicative Thinking) หมายถึง ความสามารถในการนำเอาสิ่งที่มีอยู่เดิม ไปปรับใช้ประโยชน์ในบริบทใหม่ ได้อย่างเหมาะสม โดยยังคงหลักการของสิ่งเดิมไว้

  มิติที่8 การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) หมายถึง ความสามารถในการกำหนดแนวทางที่ดีที่สุด ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าหาแกนหลักได้อย่างเหมาะสม เพื่ออธิบาย หรือให้เหตุผลสนับสนุนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

  มิติที่9 การคิดเชิงบูรณาการ (Integrative Thinking) หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมโยงแนวคิด หรือองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าหาแกนหลักได้อย่างเหมาะสม เพื่ออธิบาย หรือให้เหตุผลสนับสนุนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

  มิติที่10 การคิดเชิงอนาคต (Futuristic Thinking) หมายถึง ความสามารถในการคาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้น ในอนาคต อย่างมีหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม

3.6 มิติและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทิศนา แขมมณีและคณะ
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

     ทิศนา  แขมมณี  และคณะ ( 2542 : 60) ได้อธิบายกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณซึ่งมีวิธีคิด               ดังนี้  
  • 1. ตั้งเป้าหมายในการคิด       
  • 2. ระบุประเด็นในการคิด      
  • 3. ประมวนข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คิด ทางกว้าง  ลึกและไกล      
  • 4. วิเคราะห์  จำแนกแยกแยะจัดหมวดหมู่ของข้อมูลและเลือกข้อมูลที่จะนำมาใช้       
  • 5. ประเมินข้อมูลที่จะใช้ในแง่ความถูกต้อง  ความเพียงพอ  และความน่าเชื่อถือ       
  • 6. ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูล เพื่อแสวงหาทางเลือกหรือคำตอบที่ สมเหตุสมผลตามข้อที่มี     
  • 7. เลือกทางเลือกที่เหมาะสมโดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมาและคุณค่าหรือ ความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้น       
  • 8. ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย  คุณโทษในระยะสั้นและระยะยาว 
  • 9. ไตร่ตรอง  ทบทวนกลับกลับไปกลับมาให้รอบคอบ       
  • 10. ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด   

   😲สรุปได้ว่า  กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณนั้น  ขั้นตอนการฝึกการคิดหลายรูปแบบ  ตามหลักการและแนวคิดของนักการศึกษาต่าง ๆ ที่ได้ผ่านการทดลองมาแล้ว  ดังนั้นครูผู้สอน สามารถเลือกกระบวนการการคิดที่มีขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่เหมาะสมกับเรื่องที่จะสอนหรือให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมการจัดการเรียนรู้  ซึ่งขั้นตอนส่วนใหญ่จะมีหัวข้อที่สามารถสรุปได้ว่ามีความ คล้ายคลึงกันในเรื่องต่อไปนี้  คือ 1) การทำความเข้าใจกับปัญหา / ประเด็นสำคัญ / สถานการณ์ที่ พบ  2) การรวบรวมข้อมูล  ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการนำมาเป็นแนวทางการแก้ปัญหา และ  3) การวิเคราะห์ข้อมูล  พิจารณาข้อมูลเพื่อหาทางเลือกหรือคำตอบที่ถูกต้อง  อย่าง รอบคอบ  ประเมินทางเลือกหลาย ๆ ทาง


3.7 กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โกวิท ประวาลพฤกษ์

       💥โกวิท ประวาลพฤกษ์ นักวิชาการคนสำคัญท่านหนึ่งในวงการศึกษาได้นำเสนอความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาค่านิยมและจริยธรรมไม่ว่า ควรเริ่มต้นด้วยการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมและดำเนินการสอนตามขั้นต่อไปนี้
  • 1.กำหนดพฤติกรรมทางจริยธรรมที่พึงปรารถนา
  • 2.เสนอตัวอย่างพฤติกรรมในปัจจุบัน
  • 3.ประเมินปัญหาเชิงจริยธรรม
  • 4.แลกเปลี่ยนผลการประเมิน
  • 5.ฝึกพฤติกรรมโดยมีผลสำเร็จ
  • 6.เพิ่มระดับความขัดแย้ง
  • 7.ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
  • 8.กระตุ้นให้ผู้เรียนยอมรับตัวเอง


  3.8 กระบวนการต่างๆโดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษา
    กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมวิชาการสำนักงานคณะกรรมการแระถมศึกษาแห่งชาติ กรมสามัญและกรมเอกชนศึกษา ได้สนับสนุนให้ีพิจารณานำกระบวนการเรียนรู้รูปแบบต่างๆไปใช้ในการเรียนการสอน โดยเสนอแนะกระบวนการที่ครูครูควรใช้12กระบวนการด้วยกัน ดังนี้

3.8.1 ทักษะกระบวนการ9 ขั้น
           🙇 นวัตกรรมที่เป็นแนวคิด รูปแบบ และกระบวนการจัดการเรียนรู้ 9 ขั้นตอนดังนี้.

  • 1.ขั้นตระหนักในปัญหาและความจำเป็น
  • 2.ขั้นคิด วิเคราะห์อย่างรอบคอบความจำเป็น
  • 3.ขั้นสร้างทางเลือกอย่างหลากหลาย
  • 4.ขั้นประเมินและเลือกทางเลือกย่างเหมาะสม
  • 5.ขั้นกำหนดขั้นตอนลำดับได้อย่างได้อย่างเหมาะสม
  • 6.ขั้นปฏิบัติได้อย่างชื่นชม
  • 7.ขั้นประเมินด้วยตนเองระหว่างปฏิบัติ
  • 8.ขั้นตอนปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
  • 9.ขั้นประเมินผลเพื่อความภูมิใจ
       🙅ทักษะกระบวนการแต่ละขั้นมีรายละเอียดของกิจกรรมและพฤติกรรมที่แสดงออการางที่3 ทักษะกระบวนการ 9ขั้น กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง และพฤติกรรมที่แสดงออก  ทักษะกระบวนการ กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง พฤติกรรมการแสดงออก


3.8.2 กระบวนการการสร้างความคิดรวบยอด 
  • 1.สังเกต  ให้ผู้เรียนรับรู้ข้อมูล และศึกษาด้วยวิธีต่างๆโดยใช้สื่อประกอบเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดข้อกำหนดเฉพาะด้วยตนเอง
  • 2.จำแนกความแตกต่าง ให้ผู้เรียนบอกความแตกต่างของสิ่งที่รับรู้และให้เหตุผลความต่างนั้น
  • 3.หาลักษณะร่วม  ผู้เรียนมองเห็นความเหมือนในภาพรวมของสิ่งที่รับรู้และสรุปเป็นวิธีการหลักการคำจำกัดความหรือนิยาม
  • 4.ระบุความคิดรวบยอด  ผู้เรียนได้ความคิดรวบยอดที่เกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้
  • 5.ทดสอบและนำไปใช้ ผู้เรียนได้ทดลองทดสอบสังเกตทำแบบฝึกหัดปฏิบัติเพื่อประเมินความรู้



3.8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
      👌👌กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณยานเป็นความสามารถทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ความจำจนถึงขั้นการวิเคราะห์สังเคราะห์และการประเมินค่าตามแนวคิดของบลูม หรือแนวคิดของกานเย่ ซึ่งเริ่มจากการเรียนรู้สัญลักษณ์ทางภาษาจนเชื่อมโยงเป็นความคิดรวบยอดเป็นกฎเกณฑ์และนำกฎเกณฑ์ไปใช้. ผู้สอนควรพยายามใช้เทคนิคต่อไปซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เป็นขั้นๆอาจจะใช้เทคนิคใดก่อนหลังก็ได้ขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ความพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนผ่านขั้นตอนย่อยทุกขั้นตอนดังนี้
  • 1.ขั้นสังเกต
  • 2.อธิบาย
  • 3.รับฟัง
  • 4.เชื่อมโยงความสัมพันธ์
  • 5.วิจารณ์
  • 6.สรุป

3.8.4 กระบวนการการแก้ปัญหา 
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ต้องให้ผู้เรียนเกิดความคิด
  ⇥ 1.สังเกต
ให้นักเรียนไปศึกษาข้อมูล รับรู้และทำคามเข้าใจในปัญหาจนสามารถสรุปและตระนักในปัญหานั้น

  ⇥ 2.วิเคราะห์
ให้ผู้เรียนได้อภิปราย หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อแยกแยะประเด็นปัญห สภาพ สาเหตุละลำดับความ
สำคัญของปัญหา

   ⇥3.สร้างทางเลือก
ให้ผู้เรียนแสวงหาทาเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลายซึ่งมีการทดลอง ค้นคว้า เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทำกิจกรรม

   ⇥4.เก็บข้อมูลประเมินทางเลือก
ผู้เรียนปฏิบัติวางแผนงานและบันทึกการปฏิบัติงาน เพื่อรายงานและตรวจสอบความถูกต้อง

  ⇥ 5.สรุป
ผู้เรียนสังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำในรุปแบบของรายงาน


3.8.5 กระบวนการการสร้างความตระหนัก
   กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเอาใจใส่รับรู้เห็นคุณค่าในปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมทั้งเป็นรูปธรรมและนำประธรรมขั้นตอนดำเนินการ มีดังนี้
    ➱1.สังเกต
    ให้ข้อมูลที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเอาใจใส่และเห็นคุณค่า

    ➱2.วิจารณ์
    ให้ตัวอย่างสถานการณ์ประสบการณ์ตรงเพื่อให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์หาสาเหตุและผลเสียผลดีที่เกิดขึ้นในระยะสั้นและระยะยาว

   ➱ 3.สรุป

    ให้อธิบายหาข้อมูลหรือหลักฐานมาสนับสนุนคุณค่าของสิ่งที่จะต้องตระหนักและวางเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในเรื่องนั้น

3.8.6 กระบวนการปฏิบัติ
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นผู้เรียนปฏิบัติจนเกิดทักษะ    มีขั้นตอนดังนี้
     ➦1.สังเกตรับรู้ 
     ให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างที่หลากหลายจนเกิดความเข้าใขและสรุปความคิดรวบยอด
     
      ➦2.ทำตามแบบ
     ทำตามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นที่ละขั้นตอน จากขั้นพื้นฐานไปสู่ขั้นที่ซับซ้อน

     ➦3.ทำเองโดยไม่มีแบบ
     เป้นการปฏิบัติตามขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตนเอง

     ➦4.ฝึกให้ชำนาญ
     ให้ผู้เรียนปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความชำนาญ หรือทำได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจเป้นงานชิ้นเดิมหรืองานที่คิดขึ้นใหม่

3.8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์ 
   กระบวนการนี้มี2วิธี คือ. สอนทักษะถ้าคิดคำนวนและทักษะแก้ปัญหาโจทย์ การสอนทักษะการคิด
คำนวนมีขั้นตอนย่อยคือ การสร้างความคิดรวบยอดของคำนิยามศัพท์. สอนกฎโดยวิธีอุปนัย(สอนจากตัวอย่างไปสู่เกณฑ์ใหม่) ฝึกการวินิจฉัยปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง
   ส่วนการสอนทักษะแก้ปัญหาโจทย์มีขั้นตอนย่อยคือ แปดศูนย์ในเชิงภาษาหาวิธีแก้ปัญหาโจทย์วางแผนปฏิบัติตามขั้นตอนและตรวจสอบคำถาม


3.8.8 กระบวนการการเรียนภาษา
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้เกิดการพัฒนาทางภาษา มีขั้นตอนดังนี้
    ➤1.ทำความเข้าใจสัญลักษณ์สื่อรูปภาพรูปแบบเครื่องหมาย
    ผู้เรียนรับรู้เกี่ยวกับความหมายของคำกลุ่มคำประโยคและถ้อยคำสำนวนต่างๆ

  ➤ 2.สร้างความคิดรวบยอด
   ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้ประสบการณ์นำมาสู่ความเข้าใจและเกิดภาพรวมเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนด้วยตัวเอง

   ➤3.สื่อความหมายความคิด
   ผู้เรียนถ่ายทอดทางภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้

   ➤4.พัฒนาความสามารถ
   ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามขั้นตอนคือความรู้. ความจำ. ความเข้าใจ. การนำไปใช้การวิเคราะห์  สังเคราะห์และประเมินค่า


3.8.9 กระบวนการกลุ่ม
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนทำงานร่วมกัน โดยเน้นกิจกรรม ดังนี้
  1. มีผู้นำกลุ่มซึ่งอาจผัดเปลี่ยนกัน
  2. วางแผนกำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ
  3. รับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกทุกคนบนพื้นฐานของเหตุผล
  4. แบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้มีการปฏิบัติ
  5. ติดตามผลการปฏิบัติและปรับปรุง
  6. ประเมินผลร่วมและชื่นชมในผลงานของคณะ



3.8.10 กระบวนการการสร้างเจตคติ
  กระบวนการนี้เป็นกระบวนการแทรกได้กับทุกเนื้อหา เน้นความรู้สึกที่ดีต่อกลุ่มที่เรียน อาจเป็นความคิด หลักการทการกระทำ เหตุการณ์ สถานการณ์ มีขั้นต้อนดังนี้
    🔺1.ผู้สังเกต 
    ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล เหตุการณ์ การะกระทำที่เกี่ยวข้องกับการมีเจตคติที่ดีและเจตคติที่ไม่ดี

    🔺2.วิเคราะห์
    ผู้เรียนพิจารณาผลที่เกิดขึ้นตามมา. แยกเป็นการกระทำที่เหมาะสมได้ผลตามที่น่าพอใจและการกระทำที่ไม่เหมาะสมได้ผลที่ไม่น่าพอใจ

    🔺3.สรุป
    ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลที่เป็นหลักการ แนวคิด แนวปฏิบัติ


3.8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเกิดการยอมรับและเห็นคุณค่าของค่านิยมด้วยตนเอง มีขั้นตอนดังนี้
    ➘1.สังเกต ตระหนัก
    ผู้เรียนพิจารณาการกระทำที่เหมาะสมและการกระทำที่ไม่เหมาะสม รับรู้ความหมายจำแนกการกระทำที่แตกต่างกันได้

    ➘2.ประเมินเชิงเหตุผล
    ผู้เรียนใช้กระบวนการอภิปรายกลุ่มแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์วิจารณ์การกระทำของตัวละครหรือบุคคลในสถานการณ์ต่างๆว่าเหมาะสมหรือไม่เพราะเหตุใด

    ➘3.กำหนดค่านิยม
    ผู้เรียนแต่ละคนแสดงความเชื่อความพอใจในการกระทำที่ควรกระทำในสถานการณ์ต่างๆพร้อมเหตุผล

    ➘4.วางแผนปฏิบัติ
    ผู้เรียนช่วยกันกำหนดแนวปฏิบัติในสถานการณ์จริงโดยมีครูร่วมรับทราบกติกาการกระทำและสำรวจสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องได้รับเลือกกระทำดีแล้วเช่น การได้ประกาศชื่อเป็นที่ยอมรับ

    ➘5.ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
    ครูให้การเสริมแรงระหว่างการปฎิบัติเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความชื่นชมยินดี


3.8.12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ
กระบวนการนี้ใช้กับเนื้อหาเชิงความรู้ในการเรียน มีขั้นตอนดังนี้

    ➫1.สังเกต ตระหนัก
    ผู้เรียนพิจารณาข้อมูลสาระความรู้เพื่อสร้างความคิดรวบยอด ตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกตสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ที่จะแสวงหาคำตอบ

   ➫2.วางแผนปฏิบัติ
   ผู้เรียนนำวัตถุประสงค์หรือคำถามที่ทุกคนสนใจจะหาคำตอบมาวางแผนเพื่อกำหนดแนวทางปฎิบัติที่เหมาะสม

   ➫3.ลงมือปฏิบัติ
    ครูกำหนดให้สมาชิกในกลุ่มย่อยๆได้แสวงหาคำตอบจากแหล่งความรู้ด้วยวิธีต่างๆเช่น ค้นคว้า สัมภาษณ์ ศึกษานอกสถานที่ หาข้อมูลจากองค์กรในชุมชน ฯลฯ ตามแผนงานที่วางไว้

  ➫ 4.พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ
    ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้มารายงานและอภิปรายเชิงความหมาย แปลความ ตีความ ขยายความ. นำไปใช้วิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่า

   ➫5.สรุป
   ผู้เรียนรวบรวมเป็นสาระที่ควรบันทึกลงสมุด
 
      🙈 จะเห็นได้ว่ากระบวนการรวมทั้งรูปแบบการเรียนการสอนต่างๆดังได้เสนอไปแล้วข้างต้นมีจำนวนและความหลากหลายพอสมควรซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกเป็นจำนวนมากผู้สอนซึ่งเพิ่งตระหนักว่าศาสตร์แห่งการสอนและให้แนวทางในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่างหลากหลายพอสมควร. หากผู้สอนรู้จักแสวงหาศึกษาเรียนรู้และนำไปทดลองช้ายจะสามารถช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ มีชีวิตชีวาและมีความหลากหลายไม่จำเจอยู่กับวิธีการหรือกระบวนการเพียงไม่กี่วิธีซึ่งอาจทำให้ผู้สอนและผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย 🙉





    😷สรุป😷
    📌ในช่วง3 ศตวรรษที่ผ่านมาในขณะที่วงการศึกษาไทยได้รับหัวคิดและแนวทางต่างๆจากต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่และใช้ในประเทศไทยนั้นได้มีนักคิดนักการศึกษาไทยจำนวนหนึ่งพยายามคิดค้นและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้วยกระบวนการการเรียนการสอนขึ้นจากความรู้ความคิดและประสบการณ์ของตน อยู่ประยุกต์จากทฤษฎีและหลักการทั้งของไทยและต่างประเทศที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้วบางรูปแบบหรือกระบวนการที่พัฒนาขึ้นได้รับพิสูจน์จากการทดลองอย่างเป็นระบบระเบียบตามกระบวนการวิจัย แต่บางรูปแบบหรือกระบวนการเป็นการนำเสนอความคิดแม่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทดสอบอย่างเป็นระบบแต่ก็ได้รับความสนใจและความนิยมโดยทั่วไปรูปแบบและกระบวนการที่ได้นำเสนอในบทนี้ประกอบด้วยรูปแบบการเรียนการสอนที่ได้พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย หรือหน่วยงานทางการศึกษาของไทยจำนวน4รูปแบบ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการคิดการเผชิญสถานการณ์การตัดสินใจและการแก้ปัญหารวมทั้งพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาพ.ศ. 2542
      📌นอกจากนั้นยังมีรูปแบบการเรียนการสอนที่น่าสนใจซึ่งพัฒนาขึ้นโดยใช้กระบวนการวิจัยในการพัฒนาและได้รับการพิสูจน์การทดลองประสิทธิภาพมาแล้วซึ่งครูสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา รวมทั้งอาชีวศึกษาได้นอกเหนือจากรูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าวผู้เขียนได้นำเสนอกระบวนการต่างๆที่สามารถใช้ในการพัฒนาผู้เรียนในด้านต่างๆเช่น การพัฒนาด้านค่านิยม จริยธรรม เจคติต่างๆ การพัฒนาทางด้านการคิด การปฏิสัมพันธ์และการทำงานเป็นกลุ่ม รวมทั้งการปฏิบัติและการแก้ปัญหาต่างๆ
     📌 นอกจากนั้นยังมีกระบวนการทางด้านการเรียนรู้วิชาการต่างๆเช่น การเรียนรู้ภาษาและคณิตศาสตร์ เป็นต้น ความหลากหลายของรูปแบบและกระบวนการต่างๆดังกล่าวข้างต้นสามารถช่วยให้ผู้สอนมีทางเลือกในการจัดการเรียนรู้การเรียนการสอนมากขึ้นซึ่งผู้สอนควรพิจารณานำไปใช้ เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพรวมทั้งมีความแปลกใหม่ซึ่งสามารถจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจใฝ่รู้มากขึ้นด้วย



📎📍ออกแบบโมเดลและสรุปความรู้ความเข้าใจ📍📎


 👬 การทบทวน คือ การคิดถึงเรื่องที่เราทำไปแล้ว โดยการที่ครูได้จัดการเรียนการสอนไปแล้วจะได้ย้อนกลับทบทวนตนเองด้วยกระบวนการที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และต้องดำเนินไปเป็นวัฏจักรต่อเนื่อง มีการคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ หลากหลาย บนพื้นฐานของค่านิยม  การปฏิบัติ การปรับปรุงและสภาพแวดล้อมในอาชีพ วัตถุประสงค์พื้นฐานก็คือ การปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน สิ่งสำคัญ คือความเข้าใจในบทบาทของตนเองในเรื่อง ค่านิยม เอกลักษณ์ของอาชีพครู อีกทั้งยังช่วยให้ครูเลือกการสอนได้อย่างเหมาะสม มีความคิดสร้างสรรค์ มีความมั่นใจ มีการดำเนินการอย่างมีระบบ และใช้ข้อมูลจากการสอน การดำเนินการแบบย้อนคิดทบทวนมีประเด็นสำคัญดังนี้  
  • 1) การทบทวนตนเองหลังการสอน 
  • 2) ลักษณะการทบทวนตนเองหลังการสอน 
  • 3) การทบทวนตนเองเรื่อง ค่านิยม : การเป็นมืออาชีพ  
  • 4) การทบทวนตนเองหลังการสอน: การแก้ปัญหาด้านการสอน 
  • 5) การทบทวนตนเองเพื่อปรับปรุง : การทดสอบความถูกต้องของการปฏิบัติ 
  •  6) การทบทวนตนเองเรื่องสภาวะแวดล้อม : ความร่วมมือในทางปฏิบัติ 
  • 7) การทบทวนการทำงานของตนเองในภาพรวม : การไตร่ตรอง

    การทบทวนตังเองหลังการสอนเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการคิดไตร่ตรอง การมองเห็นข้อผิดพลาดของตน ทำให้พัฒนาตนเองจากจุดที่ขาด นำมาปรับปรุง เพิ่มเติมขึ้นจากเดิม ทำให้งานสมบรูณ์ขึ้น  มองเห็นความถูกต้อง ความเป็นมืออชีพของตัวเอง


    เทคนิคการสอน ประกอบด้วย
  •         องค์ประกอบการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ 
  •         ผลลัพธ์ที่แสดงในชั้นเรียน
  •         ผลลัพธ์ในโรงเรียน
  •         ผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นโลกความเป็นจริง

    ในเทคนิคการสอน องค์ประกอบการเรียนการสอนที่มีคุณภาพนั้นจะต้องครบคัน ทันสมัยและเกิดประโยชน์ในการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเกิดความรู้ควบคู่ไปด้วย และผลลัพธ์ในชั้นเรียนจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเทคนิคการสอนของเราเป็นอย่างไร ต้องปรับปรุงตรงไหนให้การแสดงในชั้นเรียนดีขึ้นไปอีก ผลลัพธ์ในโรงเรียนคือโรงเรียนมีคุณภาพนักเรียนดีขึ้น ผลการเรียนการเฉลี่ยรวมของนักเรียนอยู่ในเกณฑ์มาตราฐานที่สากลกำหนด และสุดท้ายผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นโลกความเป็นจริงคือการเรียนไม่ใช่แค่สอนหนังสือเท่านั้น ต้องสอนมารยาท การมีกาละเทศะ การออกไปใช้ชีวิต การคิดนอกกรอบ หรือหลาๆอย่าง ถ้าผลลัพธืที่ออกมาคือเด็กทั้งเก่งและมีมารยาท สามารถเอาตัวรอดได้ในสังคม
    การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องมีแค่โลกในห้องเรียนและในโรงเรียนเท่านั้น ยังมีการเรียนรู้ทั้งโลกนอกห้องเรียนและนอกโรงเรียนเช่นกัน เพื่อการมองโลกให้กว้างขึ้น ไม่คิดอยู่ในกรอบ แบบที่คิดว่าดีแล้วอาจจะมีอะไรที่มากกว่านั้น ฝึกจินตนาการ ฝึกความคิดนอกกรอบ การแตกกรอบอย่างมีขอบเขตุที่มีเหตุผลรองรับ



   
     การทบทวนตัวเองในการสอนมีหลายปัจจัยและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำให้มีความคิดแตกยอดออกมาได้หลายด้าน ทั้งทางบวกและทางลบ ดารให้กำลังใจตนเองหรือการบั่นทอนกำลังใจในการสอน อยู่ที่ตัวเราจะคิดในด้านไหน การกังวลในสิ่งที่เราทำว่าดีที่สุด ดีพอแล้วหรือไม่ การมั่นใจในตัวเองว่าเราสามารถทำได้หรือพิชิตความกลัวไปได้ ดังนั้น การคิดทบทวนทำให้เราได้รู้อะไรหลายๆอย่างมากขึ้นทั้งขอที่เราทำดีแล้วหรือข้อที่เราต้องปรับปรุงแก้ไข และคิดที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆไม่หยุดพัก



  







สัปดาห์ที่6

         
บทที่3
      🐲รูปแบบการเรียนการสอน🐲
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปแบบการสอน

    🍇ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอน🍇
   ในทางศึกษาศาสตร์ มีค าที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบ คือ รูปแบบการสอน Model of Teaching
หรือ Teaching Model และรูปแบบการเรียนการสอนหรือรูปแบบ การจัดการเรียนการสอน
Instructional Model หรือ Teaching-Learning Model ค าว่า รูปแบบการสอน มีผู้อธิบายไว้ดังนี้

(๑) รูปแบบการสอน หมายถึง แบบหรือแผนของการสอน รูปแบบการสอนแบบหนึ่งจะมีจุดเน้นที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง รูปแบบการสอนแต่ละรูปแบบจึงอาจมีจุดหมายที่แตกต่างกัน

(๒) รูปแบบการสอน หมายถึง แผนหรือแบบซึ่งสามารถใช้การสอนในห้องเรียน หรือสอนพิเศษเป็นกลุ่มย่อย หรือ เพื่อจัดสื่อการสอน ซึ่งรวมถึง หนังสือ ภาพยนตร์ เทปบันทึกเสียง โปรแกรมคอมพิวเตอร์และหลักสูตรรายวิชา รูปแบบ การสอนแต่ละรูปแบบจะเป็นแนวในการออกแบบการสอนที่ช่วยให้นักเรียนบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่รูปแบบนั้น ๆ กำหนด

(๓) รูปแบบการสอน หมายถึง แผนแสดงการเรียนการสอน สำหรับนำไปใช้สอนในห้องเรียนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายที่ก าหนดไว้ให้มากที่สุด แผนดังกล่าวจะแสดงถึงลำดับความสอดคล้องกัน ภายใต้หลักการของแนวคิดพื้นฐานเดียวกัน องค์ประกอบทั้งหลายได้แก่ หลักการจุดมุ่งหมาย เนื้อหา และทักษะที่ต้องการสอน ยุทธศาสตร์การสอน วิธีการสอน กระบวนการสอนขั้นตอนและกิจกรรมการสอน และการวัดและประเมินผลรูปแบบการเรียนการสอนมีความหมายในลักษณะเดียวกับระบบการเรียนการสอน ซึ่งนักการศึกษาโดยทั่ว ไปนิยมใช้คำว่า “ระบบ” ในความหมายที่เป็นระบบใหญ่ ครอบคลุมองค์ประกอบส าคัญๆ ของการศึกษา หรือการเรียนการสอนในภาพรวม และนิยมใช้ค าว่า “รูปแบบ” กับระบบที่ย่อยกว่า โดยเฉพาะกับ “วิธีการสอน” ในด้านความหมายของรูปแบบการสอน มีผู้ให้ความหมายไว้หลายแง่มุม ดังนี้

  🍭Saylor and others (1981 : 271) กล่าวว่า รูปแบบการสอน (teaching model) หมายถึง
แบบ (pattern) ของการสอนที่มีการจัดกระท าพฤติกรรมขึ้นจำนวนหนึ่งที่มีความแตกต่างกัน เพื่อ
จุดหมายหรือจุดเน้นที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง

  🐙 Joyce and Well (1992 : 1-4) กล่าวว่า รูปแบบการสอน คือ แผน (plan) หรือแบบ(pattern) ที่เราสามารถใช้เพื่อการสอนโดยตรงในห้องเรียนหรือการสอนเป็นกลุ่มย่อย หรือเพื่อจัดสื่อการเรียนการสอนซึ่งรวมถึงหนังสือ ภาพยนตร์ เทปบันทึกเสียง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและหลักสูตรรายวิชา ซึ่งแต่ละรูปแบบจะให้แนวทางในการออกแบบการเรียนการสอนที่จะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆกัน รูปแบบการสอนคือ การบรรยายสิ่งแวดล้อมทางการเรียน รูปแบบการสอนก็คือ รูปแบบของการเรียนที่ช่วยผู้เรียนให้ได้รับสารสนเทศ ความคิด ทักษะคุณค่า แนวทางของการคิด และแนว

   🐵Keeves J., (1997 : 386-387) กล่าวว่า รูปแบบโดยทั่วไปจะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้

  • 1. รูปแบบจะต้องนำไปสู่การทำนาย (prediction) ผลที่ตามมาซึ่งสามารถพิสูจน์ทดสอบได้กล่าวคือ สามารถนำไปสร้างเครื่องมือเพื่อไปพิสูจน์ทดสอบได้
  • 2. โครงสร้างของรูปแบบจะต้องประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ (causalrelationship) ซึ่งสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์/เรื่องนั้นได้
  • 3. รูปแบบจะต้องสามารถช่วยสร้างจินตนาการ (imagination) ความคิดรวบยอด(concept)และความสัมพันธ์ (interrelations) รวมทั้งช่วยขยายขอบเขตของการสืบเสาะความรู้
  • 4. รูปแบบควรจะประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง (structural relationships)มากกว่า ความสัมพันธ์เชิงเชื่อมโยง (associative relationships)

    🍩ทิศนา แขมมณี (2550 : 3-4) กล่าวว่า รูปแบบการสอน หมายถึง สภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอนที่จัดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ มีแบบแผนตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการแนวคิด หรือความเชื่อต่างๆ โดยอาศัยวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ เข้ามาช่วยให้สภาพการเรียนการสอนนั้นเป็นไปตามหลักการที่ยึดถือ ดังนั้น คุณลักษณะส าคัญของรูปแบบการสอนจึงต้องประกอบด้วยสิ่งต่างๆ
ต่อไปนี้
1. มีปรัชญาหรือทฤษฎีหรือหลักการหรือแนวคิดหรือความเชื่อ ที่เป็นพื้นฐานหรือเป็น
หลักการของรูปแบบการสอนนั้นๆ
2. มีการบรรยายหรืออธิบายสภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอน
3. มีการจัดระบบ คือ มีการจัดองค์ประกอบและความสัมพันธ์ ขององค์ประกอบของระบบให้
สามารถนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการพิสูจน์ ทดลองถึงประสิทธิภาพของ
ระบบนั้นดังนั้น รูปแบบการเรียนการสอนจึงหมายถึง สภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอน
ที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิดหรือความเชื่อต่างๆ โดยมีการจัด
กระบวนการหรือขั้นตอนในการเรียนการสอน โดยอาศัยวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ เข้ามาช่วย
ท าให้สภาพการเรียนการสอนนั้นเป็นไปตามหลักการที่ยึดถือ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ ทดสอบหรือยอมรับ
ว่ามีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นแบบแผนในการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะของ
รูปแบบนั้นๆ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่
เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย (cognitive domain)การพัฒนาด้านจิตพิสัย (affective domain) การ
พัฒนาด้านทักษะพิสัย (psychomotor domain)การพัฒนาด้านทักษะกระบวนการ (process
skills) หรือ การบูรณาการ (integration) ทั้งนี้รูปแบบดังกล่าวล้วนเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มี
ลักษณะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ


                                       🍱รูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล🍱

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

   🍯 รูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลซึ่ง รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี ได้คัดเลือกมานำเสนอล้วนได้รับการพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพมาแล้วและมีผู้นิยมนำไปใช้ในการเรียนการสอนโดยทั่วไป แต่เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าวมีจำนวนมาก เพื่อความสะดวกในการศึกษาและการนำไปใช้ จึงได้จัดหมวดหมู่ของรูปแบบเหล่านั้นตามลักษณะของวัตถุประสงค์เฉพาะหรือเจตนารมณ์ของรูปแบบ ซึ่งสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 5 หมวดดังนี้
  •  1. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย(cognitive domain)
  •  2. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านจิตพิสัย(affective domain)
  •  3. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย(psycho-motor domain)
  •  4. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ(process skill)
  •  5. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ(integration)


   เนื่องจากจำนวนรูปแบบและรายละเอียดของแต่ละรูปแบบมากเกินกว่าที่จะน าเสนอไว้ในที่นี้ได้ทั้งหมดจึงได้คัดสรรและน าเสนอเฉพาะรูปแบบที่ รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี ประเมินว่าเป็นรูปแบบที่จะเป็นประโยชน์ต่อครูส่วนใหญ่และมีโอกาสน าไปใช้ได้มาก โดยจะน าเสนอเฉพาะสาระที่เป็นแก่นสำคัญของรูปแบบ 4 ประการ คือ ทฤษฎีหรือหลักการของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ กระบวนการของรูปแบบและผลที่จะได้รับจากการใช้รูปแบบ ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านได้ภาพรวมของรูปแบบ อันจะช่วยให้สามารถตัดสินใจในเบื้องต้นได้ว่าใช้รูปแบบใดตรงกับความต้องการของตน หากตัดสินใจแล้ว ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมในรูปแบบใด สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือซึ่งให้รายชื่อไว้ในบรรณานุกรมเหมือนว่า รูปแบบการเรียนการสอนที่น าเสนอนี้ ล้วนเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางทั้งสิ้น เพียงแต่มีความแตกต่างกันตรงจุดเน้นของด้านที่ต้องการพัฒนาในตัวผู้เรียนและปริมาณของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนซึ่งมีมากน้อยแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ท่านผู้อ่านพึงระลึกอยู่เสมอ 
  แม้รูปแบบแต่ละหมวดหมู่จะมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน ก็มิได้หมายความว่า รูปแบบนั้นไม่ได้ใช้หรือพัฒนา
ความสามารถทางด้านอื่น ๆ เลย อันที่จริงแล้ว การสอนแต่ละครั้งมักประกอบไปด้วยองค์ประกอบทั้งทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย รวมทั้งทักษะกระบวนการทางสติปัญญา เพราะองค์ประกอบทั้งหมดมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด การจัดหมวดหมู่ของรูปแบบเป็นเพียงเครื่องแสดงให้เห็นว่า รูปแบบนั้น มีวัตถุประสงค์หลักมุ่งเน้นไปทางใดเท่านั้น แต่ส่วนประกอบด้านอื่น ๆ ก็ยังคงมีอยู่เพียงแต่จะมีน้อยกว่าจุดเน้นเท่านั้น


  🍭1. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย(cognitive domain)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

     รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้
ความเข้าใจในเนื้อหาสาระต่าง ๆ ซึ่งเนื้อหาสาระนั้นอาจอยู่ในรูปของข้อมูล ข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หรือความคิด
รวบยอด รูปแบบที่คัดเลือกมาน าเสนอในที่นี้มี 5 รูปแบบ ดังนี้

  1. รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์
  2. รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย
  3. รูปแบบการเรียนการสอนโดยการน าเสนอมโนทัศน์กว้างล่วงหน้า
  4. รูปแบบการเรียนการสอนเน้นความจำ
  5. รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิก

  🍑1.1 รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์ (Concept Attainment Model)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปแบบการสอน การ์ตูน

  ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 จอยส์และวีล(Joyce & Weil, 1996: 161-178) พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นโดยใช้แนวคิดของบรุนเนอร์ กู๊ดนาว และออสติน (Bruner, Goodnow, และ Austin) การเรียนรู้มโนทัศน์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นสามารถท าได้โดยการค้นหาคุณสมบัติเฉพาะที่ส าคัญของสิ่งนั้น เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการจ าแนกสิ่งที่ใช่และไม่ใช่สิ่งนั้นออกจากกันได้
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ของเนื้อหาสาระต่าง ๆ อย่างเข้าใจ และสามารถให้ ค่านิยามของมโนทัศน์นั้นด้วยตนเอง
  ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบขั้น ที่ 1 ผู้สอนเตรียมข้อมูลส าหรับให้ผู้เรียนฝึกหัดจ าแนก
 ผู้สอนเตรียมข้อมูล 2 ชุด ชุดหนึ่งเป็นตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน อีกชุดหนึ่งไม่ใช่ตัวอย่าง
ของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนในการเลือกตัวอย่างข้อมูล 2 ชุดข้างต้น ผู้สอนจะต้องเลือกหาตัวอย่างที่มีจำนวนมากพอที่จะครอบคลุมลักษณะของมโนทัศน์ที่ต้องการนั้นถ้ามโนทัศน์ที่ต้องการสอนเป็นเรื่องยากและซับซ้อนหรือเป็นนามธรรม อาจใช้วิธีการยกเป็นตัวอย่างเรื่องสั้น ๆ ที่ผู้สอนแต่งขึ้นเองน าเสนอแก่ผู้เรียนผู้สอนเตรียมสื่อการสอนที่เหมาะสมจะใช้น าเสนอตัวอย่างมโนทัศน์เพื่อแสดงให้เห็นลักษณะต่าง ๆของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนอย่างชัดเจน
  ขั้นที่ 2 ผู้สอนอธิบายกติกาในการเรียนให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจตรงกันผู้สอนชี้แจงวิธีการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าใจก่อนเริ่มกิจกรรมโดยอาจสาธิตวิธีการและให้ผู้เรียนลองทำตามที่ผู้สอนบอกจนกระทั่งผู้เรียนเกิดความเข้าใจพอสมควร
ขั้นที่ 3 ผู้สอนเสนอข้อมูลตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน และข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนการนำเสนอข้อมูลตัวอย่างนี้ทำได้หลายแบบ แต่ละแบบมีจุดเด่น- จุดด้อย ดังต่อไปนี้
1) นำเสนอข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนหมดทั้งชุด โดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่าเป็น
ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนแล้วตามด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนครบหมดทั้งชุดเช่นกันโดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่าข้อมูลชุดหลังนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสอน ผู้เรียนจะต้องสังเกตตัวอย่างทั้ง 2 ชุด และคิดหาคุณสมบัติร่วมและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เทคนิควิธีนี้สามารถช่วยให้ผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ได้เร็วแต่ใช้กระบวนการคิดน้อย
2) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนสลับกันไปจนครบ เทคนิควิธีนี้ช่วยสร้างมโนทัศน์ได้ช้ากว่าเทคนิคแรก แต่ได้ใช้กระบวนการคิดมากกว่า
3) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วเสนอข้อมูลที่เหลือทั้งหมดที
ละข้อมูลโดยให้ผู้เรียนตอบว่าข้อมูลแต่ละข้อมูลที่เหลือนั้นใช่หรือไม่ใช่ตัวอย่างที่จะสอน เมื่อผู้เรียตอบ ผู้สอนจะเฉลยว่าถูกหรือผิด วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนการคิดในการทดสอบสมมติฐานของตนไปทีละขั้นตอน.
4) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันยกตัวอย่างข้อมูลที่ผู้เรียนคิดว่าใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอน โดยผู้สอนจะเป็นผู้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ วิธีนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสคิดมากขึ้นอีก
ขั้นที่4 ให้ผู้เรียนบอกคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอน จากกิจกรรมที่ผ่านมาในขั้นต้น ๆ ผู้เรียนจะต้องพยามหาคุณสมบัติเฉพาะของตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่สิ่งที่ผู้เรียนต้องการสอนและทดสอบค าตอบของตน หากคำตอบของตนผิดผู้เรียนก็จะต้องหาค าตอบใหม่ซึ่งก็หมายความว่าต้องเปลี่ยนสมมติฐานที่เป็นฐานของคำตอบเดิม ด้วยวิธีนี้ผู้เรียนจะค่อย ๆ สร้างความคิดรวบยอดของสิ่งนั้นขึ้นมา ซึ่งก็จะมาจากคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งนั้นนั่นเอง
ขั้นที่ 5 ให้ผู้เรียนสรุปและให้คำจำกัดความของสิ่งที่ต้องการสอน
 เมื่อผู้เรียนได้รายการของคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอนแล้ว ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันเรียบเรียง
ให้เป็นคำนิยามหรือคำจำกัดความ
ขั้นที่ 6 ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายร่วมกันถึงวิธีการที่ผู้เรียนใช้ในการหาคำตอบให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิดของตัวเอง  ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบเนื่องจากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ จากการคิด วิเคราะห์และตัวอย่างที่หลากหลาย ดังนั้นผลที่ผู้เรียนจะได้รับโดยตรงคือ จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์นั้น และได้เรียนรู้ทักษะการสร้างมโนทัศน์ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการทำความเข้าใจมโนทัศน์อื่น ๆต่อไปได้รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลโดยการอุปนัย(inductivereasoning)

  🌽1.2 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย (Gagne’s Instructional Model)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 กานเย (Gagne, 1985: 70-90) ได้พัฒนาทฤษฎีเงื่อนไขการเรียนรู้ (Condition of Learning)
ซึ่งมี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ และทฤษฎีการจัดการเรียนการสอน ทฤษฎีการเรียนรู้ของกานเย
อธิบายว่าปรากฏการณ์การเรียนรู้มีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ
1) ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ 5 ประเภทคือทักษะทางปัญญา
(intellectual skill ) ซึ่งประกอบด้วยการจ าแนกแยกแยะ การสร้างความคิดรวบยอด การสร้างกฎ
การสร้างกระบวนการหรือกฎชั้นสูง ความสามารถด้านต่อไปคือ กลวิธีในการเรียนรู้(cognitiveStrategy) ภาษาหรือคำพูด (verbal information) ทักษะการเคลื่อนไหว(motor skill) และเจตคติ(attitude)
2) กระบวนการเรียนรู้และจดจ าของมนุษย์ มนุษย์มีกระบวนการจัดกระท าข้อมูลในสมอง ซึ่งมนุษย์
จะอาศัยข้อมูลที่สะสมไว้มาพิจารณาเลือกจัดกระท าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และขณะที่กระบวนการจัดกระท าข้อมูลภายในสมองก าลังเกิดขึ้นเหตุการณ์ภายนอกร่างกายมนุษย์มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมหรือการยับยั้งการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายในได้ ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอน กานเยจึงได้เสนอแนะว่า ควรมีการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้แต่ละประเภท ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ภายในสมอง โดยจัดสภาพการณ์ภายนอกให้เอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในของผู้เรียน
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้อย่างดี รวดเร็วและสามารถจดจำสิ่งที่เรียนได้นาน
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
 การเรียนการสอนตามรูปแบบของกานเย ประกอบด้วยการดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอนรวม 9ขั้นดังนี้
ขั้นที่ 1 การกระตุ้นและดึงดูดความสนใจของผู้เรียน เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสามารถรับสิ่งเร้า หรือสิ่งที่
จะเรียนรู้ได้ดี
ขั้นที่ 2 การแจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนให้ผู้เรียนทราบ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้รับรู้ความคาดหวัง
ขั้นที่ 3 การกระตุ้นให้ระลึกถึงความรู้เดิม เป็นการช่วยให้ผู้เรียนดึงข้อมูลเดิมที่อยู่ในหน่วยความจำระยะยาวให้มาอยู่ในหน่วยความจ าเพื่อใช้งาน(working memory) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมในการ
เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
ขั้นที่ 4 การนำเสนอสิ่งเร้าหรือเนื้อหาสาระใหม่ ผู้สอนควรจะจัดสิ่งเร้าให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของสิ่งเร้านั้นอย่างชัดเจน เพื่อความสะดวกในการเลือกรับรู้ของผู้เรียน
ขั้นที่ 5 การให้แนวการเรียนรู้ หรือการจัดระบบข้อมูลให้มีความหมาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำ
ความเข้าใจกับสาระที่เรียนได้ง่ายและเร็วขึ้น
ขั้นที่ 6 การกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถเพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสาระที่
เรียน ซึ่งจะช่วยให้ทราบถึงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน
ขั้นที่ 7 การให้ข้อมูลป้อนกลับ เป็นการให้การเสริมแรงแก่ผู้เรียน และข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้เรียน
ขั้นที่ 8 การประเมินผลการแสดงออกของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนเองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด
ขั้นที่ 9 การส่งเสริมความคงทนและการถ่ายโอนการเรียนรู้ โดยการให้โอกาสผู้เรียนได้มีการฝึกฝน
อย่างพอเพียงและในสถานการณ์ที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น และสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่สถานการณ์อื่น ๆ ได้
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 เนื่องจากการเรียนการสอนตามรูปแบบนี้ จัดขึ้นให้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และจดจ าของ
มนุษย์ ดังนั้น ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้สาระที่น าเสนอได้อย่างดี รวดเร็วและจดจ าสิ่งที่เรียนรู้ได้นาน
นอกจากนั้นผู้เรียนยังได้เพิ่มพูนทักษะในการจัดระบบข้อมูล สร้างความหมายของข้อมูล รวมทั้งการแสดงความสามารถของตนด้วย


วิดิโอที่เกี่ยวข้อง

  🌼1.3 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการนำเสนอมโนทัศน์กว้างล่วงหน้า (Advance Organizer Model)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปแบบการสอน การ์ตูน

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 การนำเสนอมโนทัศน์กว้างล่วงหน้า(Advanced Organizer) เพื่อการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
(meaningful verbal learning) การเรียนรู้จะมีความหมายเมื่อสิ่งที่เรียนรู้สามารถเชื่อมโยงกับความรู้เดิมของผู้เรียน ดังนั้นในการสอนสิ่งใหม่ สาระความรู้ใหม่ ผู้สอนควรวิเคราะห์หาความคิดรวบยอดย่อย ๆ ของสาระที่จะนำเสนอ จัดทำผังโครงสร้างของความคิดรวบยอดเหล่านั้นแล้ววิเคราะห์หามโนทัศน์หรือความคิดรวบยอดที่กว้างครอบคลุมความคิดรวบยอดย่อย ๆ ที่จะสอน หากครูน าเสนอมโนทัศน์ที่กว้างดังกล่าวแก่ผู้เรียนก่อนการสอนเนื้อหาสาระใหม่ ขณะที่ผู้เรียนก าลังเรียนรู้สาระใหม่ ผู้เรียนจะสามารถ น าสาระใหม่นั้นไปเกาะเกี่ยวเชื่อมโยงกับมโนทัศน์กว้างที่ให้ไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้การเรียนรู้นั้นมีความหมายต่อผู้เรียน
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระ ข้อมูลต่าง ๆ อย่างมีความหมาย
 ค. กระบวนการเรียนการสอน
ขั้นที่ 1 การจัดเตรียมมโนทัศน์กว้าง
โดยการวิเคราะห์หามโนทัศน์ที่กว้างและครอบคลุมเนื้อหาสาระใหม่ทั้งหมด มโนทัศน์ที่กว้างนี้ ไม่ใช่สิ่ง
เดียวกับมโนทัศน์ใหม่ที่จะสอน แต่จะเป็นมโนทัศน์ในระดับที่เหนือขึ้นไปหรือสูงกว่า ซึ่งจะมีลักษณะเป็น
นามธรรมมากกว่า ปกติมักจะเป็นมโนทัศน์ของวิชานั้นหรือสายวิชานั้น ควรนำเสนอมโนทัศน์กว้างนี้ล่วงหน้าก่อนการสอน จะเป็นเสมือนการ”preview” บทเรียน ซึ่งจะเป็นคนละอย่างกับการ”over view” หรือการให้ดูภาพรวมของสิ่งที่จะสอน การน าเสนอภาพรวมของสิ่งที่จะสอน การทบทวนความรู้เดิม การซักถามความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียนเกี่ยวกับเรื่องที่จะสอน การบอกวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน เหล่านี้ ไม่นับว่าเป็น “advance organizer” ซึ่งจะต้องมีลักษณะที่กว้างครอบคลุม และมีความเป็นนามธรรมอยู่ในระดับสูงกว่าสิ่งที่จะสอน
ขั้นที่ 2 การน าเสนอมโนทัศน์กว้าง
 1) ผู้สอนชี้แจงวัตถุประสงค์ของบทเรียน
 2) ผู้สอนนำเสนอมโนทัศน์กว้างด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นการบรรยายสั้น ๆ แสดงแผนผังมโนทัศน์
ยกตัวอย่าง หรือใช้การเปรียบเทียบ เป็นต้น
 ขั้นที่ 3 การนำเสนอเนื้อหาสาระใหม่ของบทเรียน
ผู้สอนนำเสนอเนื้อหาสาระที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามปกติแต่ในการน าเสนอ
ผู้สอนควรกล่าวเชื่อมโยงหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนเชื่อมโยงกับมโนทัศน์ที่ให้ไว้ล่วงหน้าเป็นระยะ ๆ
ขั้นที่ 4 การจัดโครงสร้างความรู้
ผู้สอนส่งเสริมกระบวนการจัดโครงสร้าง ความรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ส่งเสริมการ
ผสมผสานความรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนตื่นตัวในการเรียนรู้ และท าความกระจ่างในสิ่งที่เรียนรู้ โดยใช้วิธีการต่าง ๆ
เช่น
 1) อธิบายภาพรวมของเรื่องที่เรียน
 2) สรุปลักษณะสำคัญของเรื่อง
 3) บอกหรือเขียนคำนิยามที่กะทัดรัดชัดเจน
 4) บอกความแตกต่างของสาระในแง่มุมต่าง ๆ
 5) อธิบายว่าเนื้อหาสาระที่เรียนสนับสนุนหรือส่งเสริมมโนทัศน์กว้างที่ให้ไว้ล่วงหน้าอย่างไร
 6) อธิบายความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาสาระใหม่กับมโนทัศน์กว้างที่ให้ไว้ล่วงหน้า
 7) ยกตัวอย่างเพิ่มเติมจากสิ่งที่เรียน
 8) อธิบายแก่นสำคัญของสาระที่เรียนโดยใช้คำพูดของตัวเอง
 9) วิเคราะห์สาระในแง่มุมต่าง ๆ
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
  ผลโดยตรงที่ผู้เรียนจะได้รับก็คือ เกิดการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระและข้อมูลของบทเรียนอย่างมี
ความหมาย เกิดความคิดรวบยอดในสิ่งที่เรียน และสามารถจัดโครงสร้างความรู้ของตนเองได้ นอกจากนั้นยังได้พัฒนาทักษะและอุปนิสัยในการคิดและเพิ่มพูนความใฝ่รู้

      🌷1.4 รูปแบบการเรียนการสอนเน้นความจำ (Memory Model)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 รูปแบบนี้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลัก 6 ประการเกี่ยวกับ
 1) การตระหนักรู้(awareness) ซึ่งกล่าวว่า การที่บุคคลจะจดจำสิ่งใดได้ดีนั้น จะต้องเริ่มจากการรับรู้สิ่งนั้น หรือการสังเกตสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ
2) การเชื่อมโยง(association) กับสิ่งที่รู้แล้วหรือจำได้
 3) ระบบการเชื่อมโยง(link system) คือระบบในการเชื่อมความคิดหลายความคิดเข้าด้วยกันในลักษณะที่ความคิดหนึ่งจะไปกระตุ้นให้สามารถจ าอีกความคิดหนึ่งได้
 4) การเชื่อมโยงที่น่าขบขัน(ridiculous association) การเชื่อมโยงที่จะช่วยให้บุคคลจดจำได้ดีนั้น มักจะเป็นสิ่งที่แปลกไปจากปกติธรรมดา การเชื่อมโยงในลักษณะที่แปลก เป็นไปไม่ได้ ชวนให้ขบขันมักจะประทับในความทรงจำของบุคคลเป็นเวลานาน
 5) ระบบการใช้คำทดแทน
 6) การใช้คำสำคัญ(key word) ได้แก่ การใช้คำ อักษร หรือพยางค์เพียงตัวเดียว เพื่อช่วยกระตุ้นให้จำสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวกันได้
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 รูปแบบนี้มีวัตถุประสงค์ช่วยให้ผู้เรียนจดจ าเนื้อหาสาระที่เรียนรู้ได้ดีและได้นาน และได้เรียนรู้กลวิธีการจำ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้สาระอื่น ๆ ได้อีก
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
 ในการเรียนการสอนเนื้อหาสาระใด ๆ ผู้สอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนจดจ าเนื้อหาสาระนั้นได้ดีและได้นานโดยดำเนินการดังนี้
ขั้นที่ 1 การสังเกตหรือศึกษาสาระอย่างตั้งใจผู้สอนช่วยให้ผู้เรียนตระหนักรู้ในสาระที่เรียน โดยการใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น ให้อ่านเอกสารแล้วขีดเส้นใต้คำประเด็นที่สำคัญ ให้ตั้งคำถามจากเรื่องที่อ่าน
ให้หาคำตอบของคำถามต่าง ๆ เป็นต้น
ขั้นที่ 2 การสร้างความเชื่อมโยงเมื่อผู้เรียนได้ศึกษาสาระที่ต้องการเรียนรู้แล้ว ให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหาส่วนต่าง ๆที่ต้องการจดจำกับสิ่งที่ตนคุ้นเคย เช่น กับคำภาพ หรือความคิดต่าง ๆ (ตัวอย่างเช่น เด็กจ าไม่ได้ว่าค่ายบางระจันอยู่จังหวัดอะไรจึงโยงความคิดว่า ชาวบางระจันเป็นคนกล้าหาญ สัตว์ที่ถือว่าเก่งกล้าคือสิงโตบางระจันจึงอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี)หรือให้หาหรือคิดคำสำคัญที่สามารถกระตุ้นความจำในข้อมูลอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกัน เช่น สูตร 4 M หรือทดแทนคำที่ไม่คุ้นด้วย ค า ภาพ หรือความหมายอื่น หรือการใช้การเชื่อมโยงความคิดเข้าด้วยกัน
ขั้นที่ 3 การใช้จินตนาการเพื่อให้จดจำสาระได้ดีขึ้น ให้ผู้เรียนใช้เทคนิคการเชื่อมโยงสาระต่าง ๆ ให้เห็นเป็นภาพที่น่าขบขัน เกินความเป็นจริง
ขั้นที่ 4 การฝึกใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ท าไว้ข้างต้นในการทบทวนความรู้และเนื้อหาสาระต่างๆ จนกระทั่ง
จดจำได้
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบการเรียนโดยใช้เทคนิคช่วยความจำต่าง ๆ ของรูปแบบ นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำเนื้อหา
สาระต่างๆ ที่เรียนได้ดีและได้นานแล้ว ยังช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้กลวิธีการจำ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้สาระอื่น ๆ ได้อีกมาก

   🍁1.5 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizer Instructional Model)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปแบบการสอน การ์ตูน

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 กระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วนด้วยกันได้แก่ ความจำข้อมูล
กระบวนการทางปัญญา และเมตาคอคนิชั่น ความจ าข้อมูลประกอบด้วย ความจำจากการรู้สึกสัมผัส(sensorymemory) ซึ่งจะเก็บข้อมูลไว้เพียงประมาณ 1 วินาทีเท่านั้น ความจ าระยะสั้น(short-term memory) หรือความจำปฏิบัติการ(working memory) ซึ่งเป็นความจำที่เกิดขึ้นหลังจากการตีความสิ่งเร้าที่รับรู้มาแล้ว ซึ่งจะเก็บข้อมูลไว้ได้ชั่วคราวประมาณ 20 วินาที และท าหน้าที่ในการคิด ส่วนความจำระยะยาว (long- termmemory) เป็นความจำที่มีความคงทน มีความจุไม่จำกัดสามารถคงอยู่เป็นเวลานาน เมื่อต้องการใช้จะสามารถเรียกคืนได้ สิ่งที่อยู่ในความจำระยะยาวมี 2 ลักษณะ คือ ความจำเหตุการณ์ (episodic memory) และความจำความหมาย(semantic memory) เกี่ยวกับข้อเท็จจริง มโนทัศน์ กฎ หลักการต่าง ๆ องค์ประกอบด้านความาจำข้อมูลนี้ จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ขึ้นกับกระบวนการทางปัญญาของบุคคลนั้น ซึ่งประกอบด้วย
 1) การใส่ใจ หากบุคคลมีความใส่ใจในข้อมูลที่รับเข้ามาทางการสัมผัส ข้อมูลนั้นก็จะถูกนำเข้าไปสู่ความจำระยะสั้นต่อไป หากไม่ได้รับการใส่ใจ ข้อมูลนั้นก็จะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
 2) การรับรู้ เมื่อบุคคลใส่ใจในข้อมูลใดที่รับเข้ามาทางประสาทสัมผัส บุคคลก็จะรับข้อมูลนั้น และนำข้อมูลนี้เข้าสู่ความจ าระยะสั้นต่อไป ข้อมูลที่รับรู้นี้จะเป็นความจริงตามการรับรู้ของบุคคลนั้น ซึ่งอาจไม่ใช่ความจริงเชิงปรนัย เนื่องจากเป็นความจริงที่ผ่านการตีความจากบุคคลนั้นมาแล้ว
 3) การทำซ้ำ หากบุคคลมีกระบวนการรักษาข้อมูล โดยการทบทวนซ้าแล้วซ้าอีกข้อมูลนั้นก็จะยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในความจำปฏิบัติการ
 4) การเข้ารหัส หากบุคคลมีกระบวนการสร้างตัวแทนทางความคิดเกี่ยวกับข้อมูลนั้นโดยมีการนำข้อมูลนั้นเข้าสู่ความจำระยะยาวและเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งที่มีอยู่แล้วในความจำระยะยาว การเรียนรู้อย่าง
มีความหมายก็จะเกิดขึ้น
 5) การเรียกคืน การเรียกคืนข้อมูลที่เก็บไว้ในความจำระยะยาวเพื่อนำออกมาใช้ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเข้ารหัส หากการเข้ารหัสทำให้เกิดการเก็บความจำได้ดีมีประสิทธิภาพ การเรียกคืนก็จะมีประสิทธิภาพตามไปด้วยด้วยหลักการดังกล่าว การเรียนรู้จึงเป็นการสร้างความรู้ของบุคคล ซึ่งต้องใช้กระบวนการเรียนรู้อย่างมีความหมาย 4 ขั้นตอนได้แก่
(1) การเลือกรับข้อมูลที่สัมพันธ์กัน (2) การจัดระเบียบข้อมูลเข้าสู่โครงสร้าง(3) การบูรณาการข้อมูลเดิม และ (4) การเข้ารหัสข้อมูลการเรียนรู้เพื่อให้คงอยู่ในความจำระยะยาวและสามารถเรียกคืนมาใช้ได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้ การให้ผู้เรียนมีโอกาสเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับโครงสร้างความรู้เดิม ๆ และนำความรู้ความเข้าใจมาเข้ารหัสหรือสร้างตัวแทนทางความคิดที่มีความหมายต่อตนเองขึ้นจะส่งผลให้การเรียนรู้นั้นคงอยู่ในความจำระยะยาวและสามารถเรียกคืนมาใช้ได้
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมและสร้างความหมายและความเข้าใจในเนื้อหาสาระหรือข้อมูลที่เรียนรู้ และจัดระเบียบข้อมูลที่เรียนรู้ด้วยผังกราฟิก ซึ่งจะช่วยให้ง่ายแก่การจดจำ
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิก มีหลายรูปแบบ ในที่นี้จะนำเสนอไว้ 3 รูปแบบ ดังนี้

  🌱1) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิกของ โจนส์และคณะ(1989: 20-25)
ประกอบด้วยขั้นตอนส าคัญ ๆ 5 ขั้นตอนดังนี้
1.1) ผู้สอนเสนอตัวอย่างการจัดข้อมูลด้วยผังกราฟิกที่เหมาะสมกับเนื้อหาและ
วัตถุประสงค์
1.2) ผู้สอนแสดงวิธีสร้างผังกราฟิก
1.3) ผู้สอนชี้แจงเหตุผลของการใช้ผังกราฟิกนั้นและอธิบายวิธีการใช้
1.4) ผู้เรียนฝึกการสร้างและใช้ผังกราฟิกในการท าความเข้าใจเนื้อหาเป็นราย
บุคคล
1.5) ผู้เรียนเข้ากลุ่มและน าเสนอผังกราฟิกของตนแลกเปลี่ยนกัน

🌰2) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิกของคล้าก(Clark,1991: 526-524)
ประกอบด้วยขั้นตอนการเรียนการสอนที่ส าคัญ ๆ ดังนี้
ก. ขั้นก่อนสอน
2.1) ผู้สอนพิจารณาลักษณะของเนื้อหาที่จะสอนสาระนั้นและวัตถุประสงค์ของ
การสอนเนื้อหาสาระนั้น
 2.2) ผู้สอนพิจารณาและคิดหาผังกราฟิกหรือวิธีหรือระบบในการจัดระเบียบเนื้อหา
สาระนั้น ๆ
 2.3) ผู้สอนเลือกผังกราฟิก หรือวิธีการจัดระเบียบเนื้อหาที่เหมาะสมที่สุด
 2.4) ผู้สอนคาดคะเนปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ผู้เรียนในการใช้ผังกราฟิกนั้น
 ข. ขั้นสอน
 2.1) ผู้สอนเสนอผังกราฟิกที่เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหาสาระแก่ผู้เรียน
 2.2) ผู้เรียนท าความเข้าใจเนื้อหาสาระและน าเนื้อหาสาระใส่ลงในผังกราฟิกตาม
ความเข้าใจของตน
 2.3) ผู้สอนซักถาม แก้ไขความเข้าใจผิดของผู้เรียน หรือขยายความเพิ่มเติม
 2.4) ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดเพิ่มเติม โดยน าเสนอปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
แล้วให้ผู้เรียนใช้ผังกราฟิกเป็นกรอบในการคิดแก้ปัญหา
 2.5) ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้เรียน

 🌵3) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิกของจอยส์และคณะ(Joyce et al., 1992:159-161)
 จอยส์และคณะ น ารูปแบบการเรียนการสอนของคล้ากมาปรับใช้โดยเพิ่มเติมขั้นตอนเป็น 8 ขั้น ดังนี้
 3.1) ผู้สอนชี้แจงจุดมุ่งหมายของบทเรียน
 3.2) ผู้สอนนำเสนอผังกราฟิกที่เหมาะสมกับเนื้อหา
 3.3) ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนระลึกถึงความรู้เดิมเพื่อเตรียมสร้างความสัมพันธ์กับความรู้ใหม่
 3.4) ผู้สอนเสนอเนื้อหาสาระที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
 3.5) ผู้สอนเชื่อมโยงเนื้อหาสาระกับผังกราฟิก และให้ผู้เรียนน าเนื้อหาสาระใส่ลงในผังกราฟิกตามความเข้าใจของตน
 3.6) ผู้สอนให้ความรู้เชิงกระบวนการโดยชี้แจงเหตุผลในการใช้ผังกราฟิกและวิธีใช้ผังกราฟิก
 3.7) ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายผลการใช้ผังกราฟิกกับเนื้อหา
 3.8) ผู้สอนซักถาม ปรับความเข้าใจและขยายความจนผู้เรียนเกิดความเข้าใจกระจ่างชัด

   🌴4) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิกของสุปรียา ตันสกุล (2540: 40)
  สุปรียา ตันสกุล ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ” ผลของการใช้รูปแบบการสอนแบบการจัดข้อมูลด้วยแผนภาพ(Graphic Organizers) ที่มีต่อสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนและความสามารถทางการแก้ปัญหาของ
นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล” ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษากลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนและความสามารถทางการแก้ปัญหาสูงกว่านักศึกษากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .001 รูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าวประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ
7 ขั้นตอนดังนี้
 4.1) การทบทวนความรู้เดิม
 4.2) การชี้แจงวัตถุประสงค์ ลักษณะของบทเรียน ความรู้ที่คาดหวังให้เกิดแก่ผู้เรียน
 4.3) การกระตุ้นให้ผู้เรียนตระหนักถึงความรู้เดิม เพื่อเตรียมสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งที่เรียน
และการจัดเนื้อหาสาระด้วยแผนภาพ
 4.4) การน าเสนอตัวอย่างการจัดเนื้อหาสาระด้วยแผนภาพที่เหมาะกับลักษณะของเนื้อหาความรู้ที่คาดหวัง
 4.5) ผู้เรียนรายบุคคลทำความเข้าใจเนื้อหาและฝึกใช้แผนภาพ
 4.6) การนำเสนอปัญหาให้ผู้เรียนใช้แผนภาพเป็นกรอบในการแก้ปัญหา
 4.7) การทำความเข้าใจให้กระจ่างชัดผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบผู้เรียนจะมีความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่เรียนและจดจ าสิ่งที่เรียนรู้ได้ดี นอกจากนั้นยังได้เรียนรู้การใช้ผังกราฟิกในการเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้เนื้อหาสาระอื่น ๆ ได้อีกมาก


   🍒2. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านจิตพิสัย (Affective Domain)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

    รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้เป็นรูปแบบที่มุ่งช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้สึก เจตคติ ค่านิยม
คุณธรรม และจริยธรรมที่พึงประสงค์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากแก่การพัฒนาหรือปลูกฝัง การจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบการสอนที่เพียงให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มักไม่เพียงพอต่อการให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีได้จำเป็นต้องอาศัยหลักการและวิธีการอื่น ๆ เพิ่มเติม รูปแบบที่คัดสรรมานำเสนอในที่นี้มี 4 รูปแบบดังนี้

  •  2.1 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาด้านจิตพิสัยของบลูม
  •  2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการซักค้าน
  •  2.3 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ


   🔺2.1 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาด้านจิตพิสัยของบลูม (Instructional Model Based on Bloom’s Affective Domain)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบบลูม (Bloom, 1956) ได้จ าแนกจุดมุงหมายทางการศึกษาออกเป็น 3 ด้าน คือด้านความรู้(cognitive domain) ด้านเจตคติหรือความรู้สึก (affective domain) และด้านทักษะ (psycho-motordomain) ซึ่งในด้านเจตคติหรือความรู้สึกนั้น
   บลูมได้จัดขั้นการเรียนรู้ไว้ 5 ขั้นประกอบด้วย
1) ขั้นการรับรู้ ซึ่งก็หมายถึง การที่ผู้เรียนได้รับรู้ค่านิยมที่ต้องการจะปลูกฝังในตัวผู้เรียน
 2) ขั้นการตอบสนอง ได้แก่การที่ผู้เรียนได้รับรู้และเกิดความสนใจในค่านิยมนั้น แล้วมีโอกาสได้ตอบสนองในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
3.) ขั้นการเห็นคุณค่า เป็นขั้นที่ผู้เรียนได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับค่านิยมนั้น แล้วเกิดเห็นคุณค่าของค่านิยมนั้น ทำให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อค่านิยมนั้น
4) ขั้นการจัดระบบ เป็นขั้นที่ผู้เรียนรับค่านิยมที่ตนเห็นคุณค่านั้นเข้ามาอยู่ในระบบค่านิยมของตน
5) ขั้นการสร้างลักษณะนิสัย เป็นขั้นที่ผู้เรียนปฏิบัติตนตามค่านิยมที่รับมาอย่างสม่ าเสมอ
และท าจนกระทั่งเป็นนิสัย
ถึงแม้ว่าบลูมได้นำเสนอแนวคิดดังกล่าวเพื่อใช้ในการกำหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนการสอนก็ตาม แต่ก็สามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อช่วยปลูกฝังค่านิยมให้แก่ผู้เรียนได้
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาความรู้สึก/เจตคติ/ค่านิยม/คุณธรรมหรือจริยธรรมที่พึงประสงค์อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้เป็นไปตามความต้องการ
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ การสอนเพื่อปลูกฝังค่านิยมใด ๆ ให้แก่ผู้เรียน สามารถดำเนินการตามลำดับขั้นของวัตถุประสงค์ทางด้านเจตคติของบลูมได้ดังนี้
ขั้นที่ 1 การรับรู้ค่านิยม
ผู้สอนจัดประสบการณ์หรือสถานการณ์ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รับรู้ค่านิยมนั้นอย่างใส่ใจ เช่น เสนอกรณีตัวอย่างที่เป็นประเด็นปัญหาขัดแย้งเกี่ยวกับค่านิยมนั้น ค าถามที่ท้าทายความคิดเกี่ยวกับค่านิยมนั้น เป็นต้น ในขั้นนี้ผู้สอนควรพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมดังนี้

  • 1) การรู้ตัว
  • 2) การเต็มใจรับรู้
  • 3) การควบคุมการรับรู้

ขั้นที่ 2 การตอบสนองต่อค่านิยม
ผู้สอนจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนมีโอกาสตอบสนองต่อค่านิยมนั้นในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
เช่น ให้พูดแสดงความคิดเห็นต่อค่านิยมนั้น ให้ลองท าตามค่านิยมนั้น ให้สัมภาษณ์หรือพูดคุยกับผู้ที่มี
ค่านิยมนั้น เป็นต้น ในขั้นนี้ผู้สอนควรพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมดังนี้

  • 1) การยินยอมตอบสนอง
  • 2) การเต็มใจตอบสนอง
  • 3) ความพึงพอใจในการตอบสนอง

ขั้นที่ 3 การเห็นคุณค่าของค่านิยม
ผู้สอนจัดประสบการณ์หรือสถานการณ์ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นคุณค่าของค่านิยมนั้น เช่น การให้ลองปฏิบัติตามค่านิยมแล้วได้รับการตอบสนองในทางที่ดี เห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตนหรือบุคคลอื่นที่ปฏิบัติตามค่านิยมนั้น เห็นโทษหรือได้รับโทษจากการละเลยไม่ปฏิบัติตามค่านิยมนั้น เป็นต้น ในขั้นนี้ผู้สอนควรพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมดังนี้

  • 1) การยอมรับในคุณค่านั้น
  • 2) การชื่นชอบในคุณค่านั้น
  • 3) ความผูกพันในคุณค่านั้น

ขั้นที่ 4 การจัดระบบค่านิยม
เมื่อผู้เรียนเห็นคุณค่าของค่านิยมและเกิดเจตคติที่ดีต่อค่านิยมนั้น และมีความโน้มเอียงที่จะรับค่านิยมนั้นมาใช้ในชีวิตของตน ผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนพิจารณาค่านิยมนั้นกับค่านิยมหรือคุณค่าอื่น ๆ ของตน ในขั้นนี้ผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมส าคัญดังนี้

  • 1) การสร้างมโนทัศน์ในคุณค่านั้น
  • 2) การจัดระบบในคุณค่านั้น

ขั้นที่ 5 การสร้างลักษณะนิสัย
ผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนปฏิบัติตนตามค่านิยมนั้นอย่างสม่ าเสมอโดยติดตามผลการปฏิบัติและให้ข้อมูลป้อนกลับและการเสริมแรงเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งผู้เรียนสามารถปฏิบัติได้จนเป็นนิสัย ในขั้นนี้ผู้สอนควรพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมดังนี้

  • 1) การมีหลักยึดในการตัดสินใจ
  • 2) การปฏิบัติตามหลักยึดนั้นจนเป็นนิสัย
  • 3) การดำเนินการในขั้นตอนทั้ง 5 ไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น ต้องอาศัยเวลา โดยเฉพาะในขั้นที่ 4 และ 5 ต้องการเวลาในการปฏิบัติ ซึ่งอาจจะมากน้อยแตกต่างกันไปในผู้เรียนแต่ละคน

 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะได้รับการปลูกฝังค่านิยมที่พึงประสงค์จนถึงระดับที่สามารถปฏิบัติได้จนเป็นนิสัยนอกจากนั้นผู้เรียนยังได้เรียนรู้กระบวนการในการปลูกฝังค่านิยมให้เกิดขึ้น ซึ่งผู้เรียนสามารถน าไปปลูกฝังค่านิยมอื่น ๆให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นต่อไป




วิดิโอที่เกี่ยวข้อง



  🔺2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการซักค้าน (Jurisprudential Model)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบจอยส์ และ วีล (Joyce & weil, 1996 :106-128) พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นจากแนวคิดของโอลิเวอร์และ เชเวอร์ (Oliver and Shaver) เกี่ยวกับการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดใน
ประเด็นปัญหาขัดแย้งต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องค่านิยมที่แตกต่างกัน ปัญหาดังกล่าวอาจเป็น
ปัญหาทางสังคม หรือปัญหาส่วนตัว ที่ยากแก่การตัดสินใจ การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ก็คือการ
สามารถเลือกทางที่เป็นประโยชน์มากที่สุด โดยกระทบต่อสิ่งอื่น ๆ น้อยที่สุด ผู้เรียนควรได้รับการ
ฝึกฝนให้รู้จักวิเคราะห์ปัญหา ประมวลข้อมูล ตัดสินใจเลือกทางเลือกอย่างมีเหตุผล และแสดงจุดยืน
ของตนได้ ผู้สอนสามารถใช้กระบวนการซักค้านอันเป็นกระบวนการที่ใช้กันในศาล มาทดสอบผู้เรียน
ว่าจุดยืนที่ตนแสดงนั้นเป็นจุดยืนที่แท้จริงของตนหรือไม่ โดยการใช้คำถามซักค้านที่ช่วยให้ผู้เรียน
ย้อนกลับไปพิจารณาความคิดเห็นอันเป็นจุดยืนของตน ซึ่งอาจทำให้ผู้เรียนปรับเปลี่ยนความคิดเห็น
หรือจุดยืนของตน หรือยืนยันจุดยืนของตนอย่างมั่นใจขึ้น
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 รูปแบบนี้เหมาะสำหรับสอนสาระที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาขัดแย้งต่าง ๆ ซึ่งยากแก่การตัดสินใจ การสอนตามรูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด รวมทั้งวิธีการทำความกระจ่างในความคิดของตน
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 น าเสนอกรณีปัญหา
ประเด็นปัญหาที่นำเสนอควรเป็นประเด็นที่มีทางออกให้คิดได้หลายคำตอบ ควรเป็นประโยคที่มีค าว่า “ควรจะ..” เช่น ควรมีกฎหมายให้มีการทำแท้งได้อย่างเสรีหรือไม่ ควรมีการจดทะเบียนโสเภณีหรือไม่ ควรออกกฎหมายห้ามคนสูบบุหรี่หรือไม่ ? ควรอนุญาตให้นักเรียนประกวดนางงามหรือไม่ อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่างกัน
วิธีการนำเสนออาจกระท าได้หลายวิธี เช่น การอ่านเรื่องให้ฟัง การให้ดูภาพยนตร์ การเล่า
ประวัติความเป็นมา ครูต้องระลึกเสมอว่าการนำเสนอปัญหานั้นต้องทำให้นักเรียนได้รู้ข้อเท็จจริงที่
เกี่ยวข้องกับปัญหา รู้ว่าใครทำอะไร เมื่อใด เพราะเหตุใด และมีแง่มุมของปัญหาที่ขัดแย้งกันอย่างไร
ให้ผู้เรียนประมวลข้อเท็จจริงจากกรณีปัญหาและวิเคราะห์หาค่านิยมที่เกี่ยวข้องกัน
ขั้นที่ 2 ให้ผู้เรียนแสดงจุดยืนของตนเอง
ผู้สอนใช้คำถามที่มีลักษณะดังตัวอย่างต่อไปนี้
2.1) ถ้ามีจุดยืนอื่น ๆ ให้เลือกอีก ผู้เรียนยังยืนยันที่จะเลือกจุดยืนเดิมหรือไม่ เพราะอะไร
2.2) หากสถานการณ์แปรเปลี่ยนไปผู้เรียนยังจะยืนยันที่จะ เลือกจุดยืนเดิมนี้หรือไม่ เพราะอะไร
2.3) ถ้าผู้เรียนต้องเผชิญกับสถานการณ์อื่น ๆ จะยังยืนยันจุดยืนนี้หรือไม่
2.4) ผู้เรียนมีเหตุผลอะไรที่ยึดมั่นกับจุดยืนนั้น จุดยืนนั้นเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหานั้นหรือไม่
2.5) เหตุผลที่ยึดมั่นกับจุดยืนนั้นเป็นเหตุผลที่เหมาะกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่หรือไม่
2.6) ผู้เรียนมีข้อมูลเพียงพอที่จะสนับสนุนจุดยืนนั้นหรือไม่
2.7) ข้อมูลที่ผู้เรียนใช้เป็นพื้นฐานของจุดยืนนั้นถูกต้องหรือไม่
2.8) ถ้ายึดจุดยืนนี้แล้วผลที่เกิดขึ้นตามมาคืออะไร
2.9) เมื่อรู้ผลที่เกิดตามมาแล้ว ผู้เรียนยังยืนยันที่จะยึดถือจุดยืนนี้อีกหรือไม่
ขั้นที่ 4 ผู้เรียนทบทวนในค่านิยมของตนเอง
ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนพิจารณาปรับเปลี่ยน หรือยืนยันในค่านิยมที่ยึดถือ
ขั้นที่ 5 ผู้เรียนตรวจสอบและยืนยันจุดยืนใหม่/เก่าของตนอีกครั้ง
ผู้เรียนพยายามหาข้อเท็จจริงต่าง ๆ มาสนับสนุนค่านิยมของตนเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตนยึดถืออยู่นั้นเป็นค่านิยมที่แท้จริงของตน
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะเกิดความกระจ่างในความคิดของตนเองเกี่ยวกับค่านิยม และเกิดความเข้าใจในตนเอง รวมทั้งผู้สอนได้เรียนรู้และเข้าใจความคิดของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนมีการมองโลกในแง่มุมกว้างขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาความสามารถในการตัดสินใจของผู้เรียนด้วย


วิดิโอที่เกียวข้อง


   🔺2.3 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ (Role Playing Model)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ พัฒนาขึ้นโดย แชฟเทลและแชฟเทล
(Shaftel and Shaftel, 1967: 67-71) ซึ่งให้ความส าคัญกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคล เขา
กล่าวว่า บุคคลสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับตนเองได้จากการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และความรู้สึกนึกคิดของ
บุคคลก็เป็นผลมาจากมีการปะทะสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และได้สั่งสมไว้ภายในลึก ๆ โดยที่
บุคคลอาจไม่รู้ตัวเลยก็ได้ การสวมบทบาทสมมติเป็นวิธีการที่ช่วยให้บุคคลได้แสดงความรู้สึกนึกคิด
ต่าง ๆ ที่อยู่ภายในออกมา ทำให้สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เปิดเผยออกมา และนำมาศึกษาทำความเข้าใจกันได้
ช่วยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง เกิดความเข้าใจในตนเอง ในขณะเดียวกัน การที่บุคคลสวม
บทบาทของผู้อื่น ก็สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมของผู้อื่น
ได้เช่นเดียวกัน
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในตนเอง เข้าใจในความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้อื่น
และเกิดการปรับเปลี่ยนเจตคติ ค่านิยม และพฤติกรรมของตนให้เป็นไปในทางที่เหมาะสม
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 นำเสนอสถานการณ์ปัญหาและบทบาทสมมติ ผู้สอนน าเสนอ
 ปัญหา และบทบาทสมมติ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับความเป็นจริง และมีระดับยากง่ายเหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน บทบาทสมมติที่ก าหนด จะมีรายละเอียดมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการเรียนการสอน ถ้าต้องการให้ผู้เรียนเปิดเผยความคิด ความรู้สึกของตนมาก บทบาทที่ให้ควรมีลักษณะเปิดกว้าง ก าหนดรายละเอียดให้น้อย แต่ถ้าต้องการจะเจาะประเด็นเฉพาะอย่าง บทบาทสมมติอาจก าหนดรายละเอียด ควบคุมการแสดงของผู้เรียนให้มุ่งไปที่ประเด็นเฉพาะนั้น
ขั้นที่ 2 เลือกผู้แสดง
ผู้สอนและผู้เรียนจะร่วมกันเลือกผู้แสดง หรือให้ผู้เรียนอาสาสมัครก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และการวินิจฉัยของผู้สอน
ขั้นที่ 3 จัดฉาก การจัดฉากนั้นจัดได้ตามความพร้อมและสภาพการณ์ที่เป็นอยู่
ขั้นที่ 4 เตรียมผู้สังเกตการณ์ ก่อนการแสดงผู้สอนจะต้องเตรียมผู้ชมว่า ควรสังเกตอะไรและปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี
ขั้นที่ 5 แสดง ผู้แสดงมีความส าคัญเป็นอย่างยิ่งในการที่จะท าให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องราวหรือเหตุการณ์ ผู้แสดงจะต้องแสดงออกตามบทบาทที่ตนได้รับให้ดีที่สุด
ขั้นที่ 6 อภิปรายและประเมินผล การอภิปรายผลส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นกลุ่มย่อย การอภิปรายจะเป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์การแสดงออกของผู้แสดง และควรเปิดโอกาสให้ผู้แสดงได้แสดงความคิดเห็นด้วย
ขั้นที่ 7 แสดงเพิ่มเติม ควรมีการแสดงเพิ่มเติมหากผู้เรียนเสนอแนะทางออกอื่นนอกเหนือจากที่ได้แสดงไปแล้ว
ขั้นที่ 8 อภิปรายและประเมินผลอีกครั้ง หลังจากการแสดงเพิ่มเติม กลุ่มควรอภิปรายและประเมินผลเกี่ยวกับการแสดงครั้งใหม่ด้วย
ขั้นที่ 9 แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุปการเรียนรู้ แต่ละกลุ่มสรุปผลการอภิปรายของกลุ่มตน และหาข้อสรุปรวม หรือการเรียนรู้ที่ได้รับเกี่ยวกับความรู้สึก ความคิดเห็น ค่านิยม คุณธรรมจริยธรรม และพฤติกรรมของบุคคล
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด ความคิดเห็น ค่านิยมคุณธรรมจริยธรรม ของผู้อื่น รวมทั้งมีความเข้าใจในตนเองมากขึ้น


วิดิโอที่เกียวข้อง


  🍓3.รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย(Psycho-Motor Domain)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปแบบการสอน

    รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เป็นรูปแบบที่มุ่งช่วยพัฒนาความสามารถของผู้เรียนใน
ด้านการปฏิบัติ การกระทำหรือการแสดงออกต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องใช้หลักการ วิธีการ ที่แตกต่างไป
จากการพัฒนาทางด้านจิตพิสัยหรือพุทธิพิสัย รูปแบบที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทางด้าน
นี้ ที่สำคัญ ๆ ซึ่งจะน าเสนอในที่นี้มี 3 รูปแบบดังนี้

  •  3.1 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน(Simpson)
  •  3.2 รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์(Harrow)
  •  3.3 รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ (Davies)
    🔻3.1 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน(Instructional Model Based on Simpson’s Processes for psycho-Motor SkillDevelopment)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 ซิมพ์ซัน (Simpson, 1972) กล่าวว่า ทักษะเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางกายของผู้เรียน เป็นความสามารถในการประสานการท างานของกล้ามเนื้อหรือร่างกาย ในการทำงานที่มีความซับซ้อน และต้องอาศัยความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน การท างานดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการสั่งงานของสมอง ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทักษะปฏิบัตินี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ซึ่งหากได้รับการฝึกฝนที่ดีแล้ว จะเกิดความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญช านาญการ และความคงทน ผลของพฤติกรรมหรือการกระท าสามารถสังเกตได้จากความรวดเร็ว ความแม่นย า ความเร็วหรือความราบรื่นในการจัดการ
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือทำงานที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวหรือการประสานงานของกล้ามเนื้อทั้งหลายได้อย่างดี มีความถูกต้องและมีความชำนาญ
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบขั้นที่ 1 ขั้นการรับรู้ เป็นขั้นการให้ผู้เรียนรับรู้ในสิ่งที่จะทำ โดยการให้ผู้เรียนสังเกตการทำงานนั้นอย่างตั้งใจ
ขั้นที่ 2 ขั้นการเตรียมความพร้อม เป็นขั้นการปรับตัวให้พร้อมเพื่อการทำงานหรือแสดง
พฤติกรรมนั้น ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โดยการปรับตัวให้พร้อมที่จะเคลื่อนไหวหรือแสดง
ทักษะนั้น ๆ และมีจิตใจและสภาวะอารมณ์ที่ดีต่อการที่จะท าหรือแสดงทักษะนั้น ๆ
ขั้นที่ 3 ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม เป็นขั้นที่ให้โอกาสแก่ผู้เรียนในการตอบสนองต่อสิ่งที่รับรู้ ซึ่งอาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนเลียนแบบการกระทำหรือการแสดงทักษะนั้น หรืออาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนลองผิดลองถูก จนกระทั่งสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง
ขั้นที่ 4 ขั้นการให้ลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เอง เป็นขั้นที่ช่วยให้
ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติ และเกิดความเชื่อมั่นในการทำสิ่งนั้น ๆ
ขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการกระท านั้น ๆ จนผู้เรียนสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ เป็นไปโดยอัตโนมัติ และด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง
ขั้นที่ 6 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงทักษะหรือการปฏิบัติของตนให้ดียิ่งขึ้น และประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนได้รับการพัฒนาในสถานการณ์ต่าง ๆ
ขั้นที่ 7 ขั้นการคิดริเริ่ม เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างชำนาญและสามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเกิดความคิดใหม่ ๆ ในการกระทำหรือปรับการกระทำนั้นให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะสามารถกระท าหรือแสดงออกอย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ ในสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และความอดทนให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนด้วย

  🔻3.2รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ (Harrow’s InstructionalModel for psychomotor Domain)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
แฮร์โรว์ (Harrow, 1972: 96-99) ได้จัดล าดับขั้นของการเรียนรู้ทางด้านทักษะ
ปฏิบัติไว้ 5 ขั้น โดยเริ่มจากระดับที่ซับซ้อนน้อยไปจนถึงระดับที่มีความซับซ้อนมาก ดังนั้นการกระท า
จึงเริ่มจากการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใหญ่ไปถึงการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อย่อย ลำดับขั้นดังกล่าวได้แก่
การเลียนแบบ การลงมือกระทำตามคำสั่ง การกระทำอย่างถูกต้องสมบูรณ์
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 รูปแบบนี้มุ่งให้ผู้เรียนเกิดความสามารถทางด้านทักษะปฏิบัติต่าง ๆ กล่าวคือผู้เรียนสามารถปฏิบัติอย่างถูกต้องสมบูรณ์และชำนาญ
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ขั้นการเลียนแบบ เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนสังเกตการกระทำที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ ซึ่ง
ผู้เรียนย่อมจะรับรู้หรือสังเกตเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ไม่ครบถ้วน แต่อย่างน้อยผู้เรียนจะสามารถบอกได้ว่า ขั้นตอนหลักของการกระทำนั้น ๆ มีอะไรบ้าง
ขั้นที่ 2 ขั้นการลงมือกระท าตามคำสั่ง เมื่อผู้เรียนได้เห็นและสามารถบอกขั้นตอนของการกระทำที่ต้องการเรียนรู้แล้ว ให้ผู้เรียนลงมือทำโดยไม่มีแบบอย่างให้เห็น ผู้เรียนอาจลงมือทำตามคำสั่ง
ของผู้สอน หรือทำตามคำสั่งที่ผู้สอนเขียนไว้ในคู่มือก็ได้ การลงมือปฏิบัติตามคำสั่งนี้ แม้ผู้เรียนจะยัง
ไม่สามารถท าได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยผู้เรียนก็ได้ประสบการณ์ในการลงมือทำและค้นพบปัญหา
ต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้และปรับการกระทำให้ถูกต้องสมบูรณ์ขึ้น
ขั้นที่ 3 ขั้นการกระทำอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องฝึกฝนจนสามารถทำสิ่งนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องมีแบบอย่างหรือมีคำสั่งนำทางการกระทำ การกระทำที่ถูกต้อง แม่น ตรง พอดี สมบูรณ์แบบ เป็นสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องสามารถท าได้ในขั้นนี้
ขั้นที่ 4 ขั้นการแสดงออก ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกฝนมากขึ้น จนกระทั่งสามารถกระทำสิ่งนั้นได้ถูกต้องสมบูรณ์แบบอย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว ราบรื่น และด้วยความมั่นใจ
ขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติ ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถกระทำสิ่งนั้น ๆ
อย่างสบาย ๆ เป็นไปอย่างอัตโนมัติโดยไม่รู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษ ซึ่งต้องอาศัยการ
ปฏิบัติบ่อย ๆ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะเกิดการพัฒนาทางด้านทักษะปฏิบัติ จนสามารถกระท าได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์

    🔻3.3 รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ (Davies’ Instructional Modelfor Psychomotor Domain)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปแบบการสอน การ์ตูน

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 เดวีส์ (Davies, 1971: 50-56) ได้น าเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติไว้ว่า
ทักษะส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยทักษะย่อย ๆ จำนวนมาก การฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำทักษะย่อย ๆ
เหล่านั้นได้ก่อนแล้วค่อยเชื่อมโยงต่อกันเป็นทักษะใหญ่ จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จได้ดีและเร็ว
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนาความสามารถด้านทักษะปฏิบัติของผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะที่ประกอบด้วยทักษะย่อยจ านวนมาก
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ขั้นสาธิตทักษะหรือการกระทำ ขั้นนี้เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนได้เห็นทักษะหรือการกระทำที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ในภาพรวม โดยสาธิตให้ผู้เรียนดูทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ทักษะหรือการกระทำที่สาธิตให้ผู้เรียนดูนั้น จะต้องเป็นการกระทำในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ ไม่ช้าหรือเร็วเกินปกติ ก่อนการสาธิต ครูควรให้คำแนะน าแก่ผู้เรียนในการสังเกต ควรชี้แนะจุดสำคัญที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสังเกต
ขั้นที่ 2 ขั้นสาธิตและให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย เมื่อผู้เรียนได้เห็นภาพรวมของการกระทำหรือทักษะทั้งหมดแล้ว ผู้สอนควรแตกทักษะทั้งหมดให้เป็นทักษะย่อย ๆ หรือแบ่งสิ่งที่กระทำออกเป็นส่วนย่อย ๆ และสาธิตส่วนย่อยแต่ละส่วนให้ผู้เรียนสังเกตและทำตามไปทีละส่วนอย่างช้า ๆ
ขั้นที่ 3 ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ผู้เรียนลงมือปฏิบัติทักษะย่อยโดยไม่มีการสาธิต
หรือมีแบบอย่างให้ดู หากติดขัดจุดใด ผู้สอนควรให้คำชี้แนะ และช่วยแก้ไขจนกระทั่งผู้เรียนทำได้ เมื่อ
ได้แล้วผู้สอนจึงเริ่มสาธิตทักษะย่อยส่วนต่อไป และให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อยนั้นจนทำได้ ทำเช่นนี้
เรื่อยไปจนกระทั่งครบทุกส่วน
ขั้นที่ 4 ขั้นให้เทคนิควิธีการ เมื่อผู้เรียนปฏิบัติได้แล้ว ผู้สอนอาจแนะนำเทคนิควิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำงานนั้นได้ดีขึ้น เช่น ทำได้ประณีตสวยงามขึ้น ทำได้รวดเร็วขึ้น
ขั้นที่ 5 ขั้นให้ผู้เรียนเชื่อมโยงทักษะย่อย ๆ เป็นทักษะที่สมบูรณ์ เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติแต่ละส่วนได้แล้ว จึงให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ และฝึกปฏิบัติหลาย ๆครั้ง จนกระทั่งสามารถปฏิบัติทักษะที่สมบูรณ์ได้อย่างชำนาญ
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบผู้เรียนจะสามารถปฏิบัติทักษะได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ


    🍈4. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ (Process Skill)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปแบบการสอน


      ทักษะกระบวนการ เป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับวิธีดำเนินการต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นกระบวนการ
ทางสติปัญญา เช่น กระบวนการสืบสอบแสวงหาความรู้ หรือกระบวนการคิดต่าง ๆ อาทิ การคิด
วิเคราะห์ การอุปนัย การนิรนัย การใช้เหตุผล การสืบสอบ การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และการคิดอย่างมี
วิจารณญาณ เป็นต้น หรืออาจเป็นกระบวนการทางสังคม เช่น กระบวนการท างานร่วมกัน เป็นต้น
ปัจจุบันการศึกษาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำรงชีวิต ในที่นี้
จะนำเสนอรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาผู้เรียนด้านทักษะกระบวนการ 4 รูปแบบ ดังนี้

  •  4.1 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบสอบและแสวงหาความรู้เป็นกลุ่ม
  •  4.2 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดอุปนัย
  •  4.3 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์
  •  4.4 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดแก้ปัญหาอนาคตตามแนวคิดของทอร์แรนซ์


  ✸ 4.1 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบสอบและแสวงหาความรู้เป็นกลุ่ม(Group Investigation Instructional Model)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 จอยส์ และ วีล (Yoyce & Weil, 1996: 80-88) เป็นผู้พัฒนารูปแบบนี้จากแนวคิดหลักของเธเลน (Thelen) 2 แนวคิด คือแนวคิดเกี่ยวกับการสืบเสาะแสวงหาความรู้(inquiry) และแนวคิดเกี่ยวกับความรู้ (knowledge) เธเลนได้อธิบายว่า สิ่งสำคัญที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกหรือความต้องการที่จะสืบค้นหรือเสาะแสวงหาความรู้ก็คือตัวปัญหา แต่ปัญหานั้นจะต้องมีลักษณะที่มีความหมายต่อผู้เรียนและท้าทายเพียงพอที่จะท าให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะแสวงหาคำตอบนอกจากนั้นปัญหาที่ชวนให้เกิดความงุนงงสงสัย หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด จะยิ่งทำให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะเสาะแสวงหาความรู้หรือคำตอบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมนุษย์อาศัยอยู่ในสังคม ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม เพื่อสนองความต้องการของตนทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญาจิตใจ อารมณ์และสังคม ความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลหรือในกลุ่ม จึงเป็นสิ่งที่บุคคลต้องพยายามหาหนทางขจัดแก้ไขหรือจัดการท าความกระจ่างให้เป็นที่พอใจหรือยอมรับทั้งของตนเองและผู้เกี่ยวข้อง ส่วนในเรื่อง “ความรู้” นั้น เธเลนมีความเห็นว่า ความรู้เป็นเป้าหมายของกระบวนการสืบสอบทั้งหลาย ความรู้เป็นสิ่งที่ได้จากการน าประสบการณ์หรือความรู้เดิมมาใช้ในประสบการณ์ใหม่ ดังนั้น ความรู้จึงเป็นสิ่งที่ค้นพบผ่านกระบวนการสืบสอบโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาทักษะในการสืบสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจ โดยอาศัยกลุ่มซึ่งเป็นเครื่องมือทางสังคมช่วยกระตุ้นความสนใจหรือความอยากรู้และช่วยดำเนินงานการแสวงหาความรู้หรือคำตอบที่ต้องการ
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ให้ผู้เรียนเผชิญปัญหาหรือสถานการณ์ที่ชวนให้งุนงงสงสัยปัญหาหรือสถานการณ์ที่ใช้ในการกระตุ้นความสนใจและความต้องการในการสืบสอบและแสวงหาความรู้ต่อไปนั้น ควรเป็นปัญหาหรือสถานการณ์ที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความสนใจของผู้เรียน และจะต้องมีลักษณะที่ชวนให้งุนงงสงสัย เพื่อท้าทายความคิดและความใฝ่รู้ของผู้เรียน
ขั้นที่ 2 ให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาหรือสถานการณ์นั้น
 ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และพยายามกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งหรือความแตกต่างทางความคิดขึ้น เพื่อท้าทายให้ผู้เรียนพยายามหาทางเสาะแสวงหาข้อมูลหรือวิธีการพิสูจน์ทดสอบความคิดของตน เมื่อมีความแตกต่างทางความคิดเกิดขึ้น ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนที่มีความคิดเห็นเดียวกันรวมกลุ่มกัน หรืออาจรวมกลุ่มโดยให้แต่ละกลุ่มมีสมาชิกที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันก็ได้
ขั้นที่ 3 ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนในการแสวงหาความรู้
เมื่อกลุ่มมีความคิดเห็นแตกต่างกันแล้ว สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกันวางแผนว่า จะแสวงหาข้อมูลอะไร กลุ่มจะพิสูจน์อะไร จะตั้งสมมติฐานอะไร กลุ่มจำเป็นต้องมีข้อมูลอะไร และจะไปแสวงหาที่ไหน หรือจะได้ข้อมูลนั้นมาได้อย่างไร จะต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้าง เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วจะวิเคราะห์อย่างไร และจะสรุปผลอย่างไร ใครจะช่วยท าอะไร จะใช้เวลาเท่าใด ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะได้ฝึกทักษะการสืบสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการกลุ่ม ผู้สอนทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการท างานให้แก่ผู้เรียน รวมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนแหล่งความรู้ และการทำงานร่วมกัน
ขั้นที่ 4 ให้ผู้เรียนดำเนินการแสวงหาความรู้ผู้เรียนดำเนินการเสาะแสวงหาความรู้ตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ ผู้สอนช่วยอำนวยความสะดวก ให้คำแนะนำและติดตามการทำงานของผู้เรียน
ขั้นที่ 5 ให้ผู้เรียนวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลข้อมูล น าเสนอและอภิปรายผล
เมื่อกลุ่มรวบรวมข้อมูลได้มาแล้ว กลุ่มทำการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล ต่อจากนั้นจึงให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผล อภิปรายผลร่วมกันทั้งชั้น และประเมินผลทั้งทางด้านผลงานและกระบวนการเรียนรู้ที่ได้รับ
ขั้นที่ 6 ให้ผู้เรียนกำหนดประเด็นปัญหาที่ต้องการสืบเสาะหาคำตอบต่อไปการสืบสอบและเสาะแสวงหาความรู้ของกลุ่มตามขั้นตอนข้างต้นช่วยให้กลุ่มได้รับความรู้ความเข้าใจ และคำตอบในเรื่องที่ศึกษา และอาจพบประเด็นที่เป็นปัญหาชวนให้งุนงงสงสัยหรืออยากรู้ต่อไป ผู้เรียนสามารถเริ่มต้นวงจรการเรียนรู้ใหม่ ตั้งแต่ขั้นที่ 1 เป็นต้นไป การเรียนการสอนตามรูปแบบนี้ จึงอาจมีต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ตามความสนใจของผู้เรียน
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะสามารถสืบสอบและเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เกิดความใฝ่รู้และมีความ
มั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้น และได้พัฒนาทักษะการสืบสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ
ทักษะการทำงานกลุ่ม

    ✸4.2 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดอุปนัย (Inductive Thinking Instructional
Model)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 รูปแบบนี้ จอยส์และ วีล (Joyce & Weil, 1996: 149-159) พัฒนาขึ้นโดยใช้แนวคิดของทาบา (Taba, 1967: 90-92) ซึ่งเชื่อว่าการคิดเป็นสิ่งที่สอนได้ การคิดเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับข้อมูล และกระบวนการนี้มีล าดับขั้นตอนดังเช่นการคิดอุปนัย จะต้องเริ่มจากการ
สร้างความคิดรวบยอด หรือมโนทัศน์ก่อน แล้วจึงถึงขั้นการตีความข้อมูล และสรุป ต่อไปจึงนำ
ข้อสรุปหรือหลักการที่ได้ไปประยุกต์ใช้
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาการคิดแบบอุปนัยของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดดังกล่าวในการสร้างมโนทัศน์และประยุกต์ใช้มโนทัศน์ต่าง ๆ ได้
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 การสร้างมโนทัศน์ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนย่อย คือ
1.1 ให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งที่จะศึกษาและเขียนรายการสิ่งที่สังเกตเห็น หรืออาจใช้วิธี
อื่นๆ เช่น ตั้งคำถามให้ผู้เรียนตอบ ในขั้นนี้ผู้เรียนจะต้องได้รายการของสิ่งต่าง ๆ ที่ใช่หรือไม่ใช่ตัวแทน
ของมโนทัศน์ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
 1.2 จากรายการของสิ่งที่เป็นตัวแทนและไม่เป็นตัวแทนของมโนทัศน์นั้น ให้ผู้เรียน
จัดหมวดหมู่ของสิ่งเหล่านั้น โดยการก าหนดเกณฑ์ในการจัดกลุ่ม ซึ่งก็คือคุณสมบัติที่เหมือนกันของสิ่ง
เหล่านั้น ผู้เรียนจะจัดสิ่งที่มีคุณสมบัติเหมือนกันไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน
 1.3 ตั้งชื่อหมวดหมู่ที่จัดขึ้น ผู้เรียนจะต้องพิจารณาว่าอะไรเป็นหัวข้อใหญ่ อะไรเป็นหัวข้อย่อย และตั้งชื่อหัวข้อให้เหมาะสม
 ขั้นที่ 2 การตีความและสรุปข้อมูล ประกอบด้วย 3 ขั้นย่อยดังนี้
 2.1 ระบุความสัมพันธ์ของข้อมูล ผู้เรียนศึกษาข้อมูลและตีความข้อมูลเพื่อให้เข้าใจ
ข้อมูล และเห็นความสัมพันธ์ที่สำคัญ ๆ ของข้อมูล
2.2 ส ารวจความสัมพันธ์ของข้อมูล ผู้เรียนศึกษาข้อมูลและความสัมพันธ์ของข้อมูล
ในลักษณะต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ในลักษณะของเหตุและผล ความสัมพันธ์ของข้อมูลในหมวดนี้กับ
ข้อมูลในหมวดอื่น จนสามารถอธิบายได้ว่าข้อมูลต่าง ๆ สัมพันธ์กันอย่างไรและด้วยเหตุผลใด
2.3 สรุปอ้างอิง เมื่อค้นพบความสัมพันธ์หรือหลักการแล้ว ให้ผู้เรียนสรุปอ้างอิงโดยโยงสิ่งที่ค้นพบไปสู่สถานการณ์อื่น ๆ
ขั้นที่ 3 การประยุกต์ใช้ข้อสรุปหรือหลักการ
 1.1 นำข้อสรุปมาใช้ในการทำนาย หรืออธิบายปรากฏการณ์อื่น ๆ และฝึกตั้งสมมติฐาน
 1.2 อธิบายให้เหตุผลและข้อมูลสนับสนุนการท านายและสมมติฐานของตน
 1.3 พิสูจน์ ทดสอบ การท านายและสมมติฐานของตน
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะสามารถสร้างมโนทัศน์และประยุกต์ใช้มโนทัศน์นั้นด้วยกระบวนการคิดแบบอุปนัย และผู้เรียนสามารถนำกระบวนการคิดดังกล่าวไปใช้ในการสร้างมโนทัศน์อื่น ๆ ต่อไปได้

   ✸4.3 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ (Synectics Instructional Model)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์นี้ เป็นรูปแบบที่จอยส์ และ วีล
(Joyce and Weil, 1966: 239-253) พัฒนาขึ้นมาจากแนวคิดของกอร์ดอน (Gordon) ที่กล่าวว่า
บุคคลทั่วไปมักยึดติดกับวิธีคิดแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ของตน โดยไม่ค่อยคำนึงถึงความคิดของคนอื่น
ทำให้การคิดของตนคับแคบและไม่สร้างสรรค์ บุคคลจะเกิดความคิดเห็นที่สร้างสรรค์แตกต่างไปจาก
เดิมได้ หากมีโอกาสได้ลองคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ไม่เคยคิดมาก่อน หรือคิดโดยสมมติตัวเองเป็นคน
อื่น และถ้ายิ่งให้บุคคลจากหลายกลุ่มประสบการณ์มาช่วยกันแก้ปัญหา ก็จะยิ่งได้วิธีการที่กลากหลาย
ขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นกอร์ดอนจึงได้เสนอให้ผู้เรียนมีโอกาสคิดแก้ปัญหาด้วย
แนวความคิดใหม่ ๆ ที่ไม่เหมือนเดิม ไม่อยู่ในสภาพที่เป็นตัวเอง ให้ลองใช้ความคิดในฐานะที่เป็นคน
อื่น หรือเป็นสิ่งอื่น สภาพการณ์เช่นนี้จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดใหม่ ๆ ขึ้นได้ กอร์ดอนเสนอ
วิธีการคิดเปรียบเทียบแบบอุปมาอุปมัยเพื่อใช้ในการกระตุ้นความคิดใหม่ ๆ ไว้ 3 แบบ คือ การเปรียบเทียบแบบตรง การเปรียบเทียบบุคคลกับสิ่งของ และการเปรียบเทียบค าคู่ขัดแย้ง วิธีการนี้มีประโยชน์มากเป็นพิเศษส าหรับการเขียนและการพูดอย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งการสร้างสรรค์งานทางศิลปะ
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนเกิดแนวคิดที่ใหม่แตกต่างไปจากเดิม และสามารถนำความคิดใหม่นั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ขั้นนำผู้สอนให้ผู้เรียนทำงานต่าง ๆ ที่ต้องการให้ผู้เรียนทำ เช่น ให้เขียน บรรยาย เล่า ทำ แสดง วาดภาพ สร้าง ปั้น เป็นต้น ผู้เรียนทำงานนั้น ๆ ตามปกติที่เคยทำเสร็จแล้วให้เก็บผลงานไว้ก่อน
ขั้นที่ 2 ขั้นการสร้างอุปมาแบบตรงหรือเปรียบเทียบแบบตรง ผู้สอนเสนอคำคู่ให้ผู้เรียน
เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง เช่น ลูกบอลกับมะนาว เหมือนหรือต่างกันอย่างไรคำคู่ที
ผู้สอนเลือกมาควรให้มีลักษณะที่สัมพันธ์กับเนื้อหาหรืองานที่ให้ผู้เรียนทำในขั้นที่ 1 ผู้สอนเสนอคำคู่ให้
ผู้เรียนเปรียบเทียบหลาย ๆคู่ และจดคำตอบของผู้เรียนไว้บนกระดาน
ขั้นที่3 ขั้นการสร้างอุปมาบุคคลหรือเปรียบเทียบบุคคลกับสิ่งของ ผู้สอนให้ผู้เรียนสมมติตัวเองเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และแสดงความรู้สึกออกมาเช่น ถ้าเปรียบเทียบผู้เรียนเป็นเครื่องซักผ้าจะรู้สึกอย่างไร
ผู้สอนจดคำตอบของผู้เรียนไว้บนกระดาน
ขั้นที่ 4 ขั้นการสร้างอุปมาคำคู่ขัดแย้ง ผู้สอนให้ผู้เรียนนำคำหรือวลีที่ได้จากการเปรียบเทียบในขั้นที่ 2 และ 3 มาประกอบกันเป็นค าใหม่ที่มีความหมายขัดแย้งกันในตัวเอง เช่น ไฟ เย็น น้ำผึ้งขม มัจจุราชสี
น้ำผึ้ง เชือดนิ่ม ๆ เป็นต้น
ขั้นที่ 5 ขั้นการอธิบายความหมายของคำคู่ขัดแย้ง ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันอธิบายความหมายของคำคู่ขัดแย้งที่ได้
ขั้นที่ 6 ขั้นการนำความคิดใหม่มาสร้างสรรค์งาน ผู้สอนให้ผู้เรียนนำงานที่ทำไว้เดิมในขั้นที่ 1 ออกมา
ทบทวนใหม่ และลองเลือกนำความคิดที่ได้มาใหม่จากกิจกรรมขั้นที่ 5 มาใช้ในงานของตนทำให้งานของตนมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะเกิดความคิดใหม่ ๆ และสามารถนำความคิดใหม่ ๆ นั้นไปใช้ในงานของตนทำให้งานของตนมีความแปลกใหม่ น่าสนใจมากขึ้น นอกจากนั้น ผู้เรียนอาจเกิดความตระหนักในคุณค่าของการคิด และความคิดของผู้อื่นอีกด้วย

  ✸4.4 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดแก้ปัญหาอนาคตตามแนวคิดของทอร์แรนซ์
(Torrance’s Future Problem Solving Instructional Model)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปแบบการสอน การ์ตูน

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 รูปแบบการเรียนการสอนนี้พัฒนามาจากรูปแบบการคิดแก้ปัญหาอนาคตตามแนวคิด
ของทอแรนซ์ (Torrance, 1962) ซึ่งได้น าองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ 3 องค์ประกอบ คือ
การคิดคล่องแคล่ว การคิดยืดหยุ่น การคิดริเริ่ม มาใช้ประกอบกับกระบวนการคิดแก้ปัญหา และการ
ใช้ประโยชน์จากกลุ่มซึ่งมีความคิดหลากหลาย โดยเน้นการใช้เทคนิคระดมสมองเกือบทุกขั้นตอน
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนาผู้เรียนให้ตระหนักรู้ในปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเรียนรู้ที่
จะคิดแก้ปัญหาร่วมกัน ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดจ านวนมาก
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 การนำสภาพการณ์อนาคตเข้าสู่ระบบการคิด
นำเสนอสภาพการณ์อนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้การคิคล่องแคล่วการคิดยืดหยุ่น การคิดริเริ่ม และจินตนาการ ในการทำนายสภาพการณ์อนาคตจากข้อมูลข้อเท็จจริงและประสบการณ์ของตน
ขั้นที่ 2 การระดมสมองเพื่อค้นหาปัญหา
จากสภาพการณ์อนาคตในขั้นที่ 1 ผู้เรียนช่วยกันวิเคราะห์ว่าอาจจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้างในอนาคต
ขั้นที่ 3 การสรุปปัญหา และจัดล าดับความส าคัญของปัญหา
ผู้เรียนน าปัญหาที่วิเคราะห์ได้มาจัดกลุ่ม หรือจัดความสัมพันธ์เพื่อก าหนดว่าอะไรเป็นปัญหาหลัก อะไรเป็นปัญหารอง และจัดลำดับความสำคัญของปัญหา
ขั้นที่ 4 การระดมสมองหาวิธีแก้ปัญหา
ผู้เรียนร่วมกันคิดวิธีแก้ปัญหา โดยพยายามคิดให้ได้ทางเลือกที่แปลกใหม่จำนวนมาก
ขั้นที่ 5 การเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
เสนอเกณฑ์หลาย ๆ เกณฑ์ที่จะใช้ในการเลือกวิธีการแก้ปัญหา แล้วตัดสินใจเลือกเกณฑ์ที่มีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในแต่ละสภาพการณ์ ต่อไปจึงนำเกณฑ์ที่คัดเลือกไว้ มาใช้ในการเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด โดยพิจารณาถึงน้ำหนักความสำคัญของเกณฑ์แต่ละข้อด้วย
ขั้นที่ 6 การนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาอนาคต
ผู้เรียนน าวิธีการแก้ปัญหาอนาคตที่ได้มาเรียบเรียง อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมข้อมูลที่จำเป็น คิดวิธีการนำเสนอที่เหมาะสม และนำเสนออย่างเป็นระบบน่าเชื่อถือ
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะได้พัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหา และตระหนักรู้ในปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และสามารถใช้ทักษะการคิดแก้ปัญหามาใช้ในการแก้ปัญหาปัจจุบัน และป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
  


    🍎5. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ (Integration)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

           รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เป็นรูปแบบที่พยายามพัฒนาการเรียนรู้ด้านต่าง ๆของผู้เรียนไปพร้อม ๆ กัน โดยใช้การบูรณาการทั้งทางด้านเนื้อหาสาระและวิธีการ รูปแบบในลักษณะนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีความสอดคล้องกับหลักทฤษฎีทางการศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนารอบด้าน หรือการพัฒนาเป็นองค์รวม รูปแบบในลักษณะดังกล่าวที่นำมาเสนอในที่นี้มี 4รูปแบบใหญ่ ๆ คือ

  •  5.1 รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
  •  5.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการสร้างเรื่อง
  •  5.3 รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT
  •  5.4 รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
  •  5.4.1 รูปแบบจิ๊กซอร์ (JIGSAW)
  •  5.4.2 รูปแบบ เอส. ที


    👀5.1 รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง (Direct Instruction Model)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 จอยส์ และวีล (Joyce and Weil, 1996: 334) อ้างว่า มีงานวิจัยจ านวนไม่น้อยที่
ชี้ให้เห็นว่า การสอนโดยมุ่งเน้นให้ความรู้ที่ลึกซึ้ง ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน ท าให้
ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วยให้ผู้เรียนประสบความส าเร็จในการเรียน การเรียนการสอน
โดยจัดสาระและวิธีการให้ผู้เรียนอย่างดีทั้งทางด้านเนื้อหาความรู้ และการให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนอย่าง
มีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด ผู้เรียนมีใจจดจ่อกับสิ่งที่เรียนและ
ช่วยให้ผู้เรียน 80 % ประสบความส าเร็จในการเรียน นอกจากนั้นยังพบว่า บรรยากาศที่ไม่ปลอดภัย
ส าหรับผู้เรียน สามารถสกัดกั้นความส าเร็จของผู้เรียนได้ ดังนั้น ผู้สอนจึงจ าเป็นต้องระมัดระวัง ไม่ท า
ให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกในทางลบ เช่น การดุด่าว่ากล่าว การแสดงความไม่พอใจ หรือวิพากษ์วิจารณ์
ผู้เรียน
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 รูปแบบการเรียนการสอนนี้มุ่งช่วยให้ได้เรียนรู้ทั้งเนื้อหาสาระและมโนทัศน์ต่าง ๆ
รวมทั้งได้ฝึกปฏิบัติทักษะต่าง ๆ จนสามารถท าได้ดีและประสบผลส าเร็จได้ในเวลาที่จ ากัด
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
 การเรียนการสอนรูปแบบนี้ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ ๆ 5 ขั้นดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นนำ
 1.1 ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียนและระดับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมการเรียนรู้ที่คาดหวังแก่ผู้เรียน
 1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียน และความสัมพันธ์กับความรู้และประสบการณ์เดิมอย่างคร่าว ๆ
 1.3ผู้สอนชี้แจงกระบวนการเรียนรู้ และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนในแต่ละขั้นตอน
ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอบทเรียน
 2.1 หากเป็นการนำเสนอเนื้อหาสาระ ข้อความรู้ หรือมโนทัศน์ ผู้สอนควร
กลั่นกรองและสกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น และนำเสนออย่างชัดเจนพร้อมทั้งอธิบาย
และยกตัวอย่างประกอบให้ผู้เรียนเข้าใจ ต่อไปจึงสรุปค านิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ก่อนให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติหากผู้เรียนยังไม่เข้าใจ ต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน
ขั้นที่ 3 ขั้นฝึกปฏิบัติตามแบบ
ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับ ให้การเสริมแรงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ขั้นที่ 4 ขั้นฝึกปฏิบัติภายใต้การก ากับของผู้ชี้แนะ
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ ผู้สอนจะสามารถประเมินเรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความส าเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของผู้เรียน และช่วยเหลือผู้เรียน โดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียนแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ
ขั้นที่ 5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ
หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่ 4 ได้ถูกต้องประมาณ 85- 90 % แล้วผู้สอนควนปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ เพื่อช่วยให้เกิดความช านาญและการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที สามารถให้ภายหลังได้ การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรท าติดต่อกันในครั้งเดียว ควรมีการฝึกเป็นระยะๆ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนขึ้น
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 การเรียนการสอนแบบนี้ เป็นไปตามล าดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัยได้เร็วและได้มากในเวลาที่จ ากัด ไม่สับสน ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตามความสามารถของตน จนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ท าให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน และมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง

   👾5.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการสร้างเรื่อง (Storyline Method)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสร้างเรื่อง พัฒนาขึ้นโดย ดร. สตีฟ เบ็ลและแซลลี่
ฮาร์คเนส (Steve Bell and Sally Harkness) จากสก็อตแลนด์ เขามีความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ว่า
(อรทัย มูลค า และคณะ, 2541: 34-35)
1) การเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะบูรณาการหรือเป็นสหวิทยาการคือเป็นการเรียนรู้ที่ผสมผสาน
ศาสตร์หลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการประยุกต์ใช้ในการท างานและการดำเนิน
ชีวิตประจำวัน
2) การเรียนรู้ที่ดีเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านทางประสบการณ์ตรงหรือการกระทำหรือการมีส่วนร่วมของผู้เรียนเอง
3) ความคงทนของผลการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนรู้หรือวิธีการที่ได้ความรู้มา
4) ผู้เรียนสามารถเรียนรู้คุณค่าและสร้างผลงานที่ดีได้ หากมีโอกาสได้ลงมือกระทำ
    นอกจากความเชื่อดังกล่าวแล้ว การเรียนการสอนโดยวิธีการสร้างเรื่องนี้ยังใช้หลักการเรียนรู้
และการสอนอีกหลายประการ เช่นการเรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวไปสู่วิถีชีวิตจริง การสร้างองค์ความรู้ด้วย
ตนเอง และการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางจากฐานความเชื่อและหลักการดังกล่าว สตีฟ เบ็ล (ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาและโลกศึกษาคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2542: 4) ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่มีลักษณะบูรณาการเนื้อหาหลักสูตรและทักษะการเรียนจากหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์เรื่องขึ้นด้วยตนเอง โดยผู้สอนทำหน้าที่วางเส้นทางเดินเรื่องให้ การด าเนินเรื่องแบ่งเป็นตอน ๆ (episode) แต่ละตอนประกอบด้วยกิจกรรมย่อยที่เชื่อมโยงกันด้วยค าถามหลัก (keyquestion) ลักษณะของคำถามหลักที่เชื่อมโยงเรื่องราวให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องมี 4 ค าถามได้แก่ ที่ไหน ใคร ทำอะไร/อย่างไร และมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้สอนจะใช้ค าถามหลักเหล่านี้เปิดประเด็นให้ผู้เรียนคิดร้อยเรียงเรื่องราวด้วยตนเอง รวมทั้งสร้างสรรค์ชิ้นงานประกอบกันไป การเรียนการสอนด้วยวิธีการดังกล่าวจึงช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์และความคิดของตนอย่างเต็มที่ และมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกัน อภิปรายร่วมกัน และเกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 เพื่อช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจและเจตคติของผู้เรียนในเรื่องที่เรียน รวมทั้งทักษะกระบวนต่าง ๆ เช่น ทักษะการคิด ทักษะการท างานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการสื่อสาร เป็นต้น
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
 การเรียนการสอนตามรูปแบบนี้จ าเป็นต้องมีการวางแผนและจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ล่วงหน้า โดยดำเนินการดังนี้
ขั้นที่ 1 การกำหนดเส้นทางเดินเรื่องให้เหมาะสม
ผู้สอนจำเป็นต้องวิเคราะห์จุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระของหลักสูตร และเลือกหัวเลือกให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระของหลักสูตรที่ต้องการจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และจัดแผนการสอนในรายละเอียด เส้นทางเดินเรื่อง ประกอบด้วย 4 องก์ (episode) หรือ 4 ตอนด้วยกัน คือ ฉากตัวละคร วิถีชีวิตและเหตุการณ์ ในแต่ละองก์ ผู้สอนจะต้องก าหนดประเด็นหลักขึ้นมาแล้วตั้งเป็นคำถามนำให้ผู้เรียนศึกษาหาคำตอบ ซึ่งคำถามเหล่านี้จะโยงไปยังคำตอบที่สัมพันธ์กับเนื้อหาวิชาต่างๆ ที่ประสงค์จะบูรณาการเข้าด้วยกัน
ขั้นที่ 2 การดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน
ผู้สอนดำเนินการตามแผนการสอนไปตามลำดับ การเรียนการสอนแบบนี้ อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่คาบ หรือต่อเนื่องกันเป็นภาคเรียนก็ได้ แล้วแต่หัวเรื่องและการบูรณาการว่าสามารถทำได้ครอบคลุมเพียงใด แต่ไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 ภาคเรียน เพราะผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่าย ในการริ่มกิจกรรมใหม่ ผู้สอนควรเชื่อมโยงกับเรื่องที่ค้างไว้เดิมให้สานต่อกันเสมอ และควรให้ผู้เรียนสรุปความคิดรวบยอดของแต่ละกิจกรรม ก่อนจะขึ้นกิจกรรมใหม่ นอกจากนั้นควรกระตุ้นให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนชื่นชมผลงานของกันและกัน และได้ปรับปรุงพัฒนางานของตน
ขั้นที่ 3 การประเมิน
ผู้สอนใช้การประเมินผลตามสภาพที่แท้จริง (authentic assessment) คือการประเมินจากการสังเกต การบันทึก และการรวบรวมข้อมูลจากผลงานและการแสดงออกของผู้เรียนการประเมินจะไม่เน้นเฉพาะทักษะพื้นฐานเท่านั้น แต่จะรวมถึงทักษะการคิด การท างาน การร่วมมือ การแก้ปัญหา และอื่น ๆ การประเมินให้ความส าคัญในการประสบผลสำเร็จในการทำงานของผู้เรียนแต่ละคน มากกว่าการประเมินผลการเรียนที่มุ่งให้คะแนนผลผลิตและจัดลำดับที่เปรียบเทียบกับกลุ่ม
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจาการเรียนรู้ตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะเกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน ในระดับที่สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ

    👌5.3 รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ 4mat

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 แม็ค คาร์ธี (Mc Carthy, อ้างถึงใน ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะ พุ่มมั่น, 2542: 7-11)
พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนนี้ขึ้นจากแนวคิดของโคล์ป (Kolb) ซึ่งอธิบายว่า การเรียนรู้เกิดขึ้น
จากความสัมพันธ์ของ 2 มิติ คือการรับรู้ และกระบวนการจัดกระทำข้อมูล การรับรู้ของบุคคลมี 2
ช่องทาง คือผ่านทางประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม และผ่านทางความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม ส่วน
การจัดกระทำกับข้อมูลที่รับรู้นั้น มี 2 ลักษณะเช่นเดียวกัน คือการลงมือทดลองปฏิบัติ และการ
สังเกตโดยใช้ความคิดอย่างไตร่ตรอง เมื่อลากเส้นตรงของช่องทางการรับรู้ 2 ช่องทาง และเส้นตรง
ของการจัดกระทำข้อมูลเพื่อให้เกิดการเรียนรู้มาตัดกัน แล้วเขียนเป็นวงกลมจะเกิดพื้นที่เป็น 4 ส่วนของวงกลม ซึ่งสามารถแทนลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียน 4 แบบ คือ
แบบที่ 1 เป็นผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ (imaginative learners)เพราะมีการรับรู้
ผ่านทางประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม และใช้กระบวนการจัดกระท าข้อมูลด้วยการสังเกตอย่างไตร่ตรอง
แบบที่ 2 เป็นผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ ( analytic learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทางความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม และชอบใช้กระบวนการสังเกตอย่างไตร่ตรอง
แบบที่ 3 เป็นผู้เรียนที่ถนัดใช้สามัญส านึก (commonsense learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทางความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม และชอบใช้กระบวนการลงมือท า
แบบที่ 4 เป็นผู้เรียนที่ถนัดในการปรับเปลี่ยน (dynamic learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทางประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม และชอบใช้กระบวนการลงมือปฏิบัติแม็คคาร์ธี และคณะ (ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะ พุ่มมั่น, 2542: 7-11) ได้นำแนวคิดของโคล์ป มาประกอบกับแนวคิดเกี่ยวกับการท างานของสมองทั้งสองซีก ท าให้เกิดเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ค าถามหลัก 4 ค าถามคือ ท าไม (Why) อะไร (What)อย่างไร (How) และถ้า (If) ซึ่งสามารถพัฒนาผู้เรียนที่มีลักษณะการเรียนรู้แตกต่างกันทั้ง 4 แบบ ให้สามารถใช้สมองทุกส่วนของตนในการพัฒนาศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้สมองทุกส่วน ทั้งซีกซ้ายและขวา ในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
 การเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT มีขั้นตอนด าเนินการ 8 ขั้นดังนี้ (ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะพุ่มมั่น, 2542: 11-16; เธียร พานิช, 2542: 3-5)
ขั้นที่ 1 การสร้างประสบการณ์ ผู้สอนเริ่มต้นจากการจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของเรื่องที่เรียนด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนตอบได้ว่า ท าไม ตนจึงต้องเรียนรู้เรื่องนี้
ขั้นที่ 2 การวิเคราะห์ประสบการณ์ หรือสะท้อนความคิดจากประสบการณ์ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักรู้ และยอมรับความสำคัญของเรื่องที่เรียน
ขั้นที่ 3 การพัฒนาประสบการณ์เป็นความคิดรวบยอดหรือแนวคิด เมื่อผู้เรียนเห็นคุณค่าของเรื่องที่เรียนแล้ว ผู้สอนจึงจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างความคิดรวบยอดขึ้นด้วยตนเอง
ขั้นที่ 4 การพัฒนาความรู้ความคิด เมื่อผู้เรียนมีประสบการณ์และเกิดความคิดรวบยอดหรือแนวคิดพอสมควรแล้ว ผู้สอนจึงกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้ความคิดของตนให้กว้างขวางและลึกซึ้งขึ้น โดยการให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย การเรียนรู้ในขั้นที่ 3และ 4 นี้คือการตอบคำถามว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ อะไร
ขั้นที่ 5 การปฏิบัติตามแนวคิดที่ได้เรียนรู้ ในขั้นนี้ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนำความรู้ความคิดที่ได้รับจากการเรียนรู้ในขั้นที่ 3-4 มาทดลองปฏิบัติจริง และศึกษาผลที่เกิดขึ้น
ขั้นที่ 6 การสร้างสรรค์ชิ้นงานของตนเอง จากการปฏิบัติตามแนวคิดที่ได้เรียนรู้ในขั้นที่ 5ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ถึงจุดเด่นจุดด้อยของแนวคิด ความเข้าใจแนวคิดนั้นจะกระจ่างขึ้น ในขั้นนี้ผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถของตน โดยการน าความรู้ความเข้าใจนั้นไปใช้หรือปรับประยุกต์ใช้ในการสร้างชิ้นงานที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง ดังนั้นค าถามหลักที่ใช้ในขั้นที่5-6 ก็คือ จะทำอย่างไร
ขั้นที่ 7 การวิเคราะห์ผลงานและแนวทางในการนำไปประยุกต์ใช้ เมื่อผู้เรียนได้สร้างสรรค์ชิ้นงานของตนตามความถนัดแล้ว ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงผลงานของตน ชื่นชมกับความสำเร็จ และเรียนรู้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งรับฟังข้อวิพากษ์วิจารณ์เพื่อการปรับปรุงงานของตนให้ดีขึ้นและนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป
ขั้นที่ 8 การแลกเปลี่ยนความรู้ความคิด ขั้นนี้เป็นขั้นขยายขอบข่ายของความรู้โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดแก่กันและกัน และร่วมกันอภิปรายเพื่อการน าการเรียนรู้ไปเชื่อมโยงกับชีวิตจริงและอนาคต คำถามหลักในการอภิปรายก็คือ ถ้า....? ซึ่งอาจน าไปสู่การเปิดประเด็นใหม่
ส าหรับผู้เรียน ในการเริ่มต้นวัฏจักรของการเรียนรู้ในเรื่องใหม่ต่อไป
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
 ผู้เรียนจะสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองในเรื่องที่เรียน จะเกิดความรู้ความเข้าใจและนำความรู้ความเข้าใจนั้นไปใช้ได้ และสามารถสร้างผลงานที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆอีกจำนวนมาก




วิดิโอที่เกียวข้อง


   👽5.4 รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Instructional Models of
 Cooperative Learning)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
 รูปแบบการเรียนการสอนของแนวคิดแบบร่วมมือ พัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลักการเรียนรู้
แบบร่วมมือของจอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson & Johnson, 1974: 213-240)ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่า
ผู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันกัน เพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์แพ้-
ชนะ ต่างจากการร่วมมือกันซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ชนะ-ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ที่ดีกว่าทั้งทางด้านจิตใจและสติปัญญา หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการประกอบด้วย
 (1) การเรียนรู้ต้องอาศัหลักพึ่งพากันโดยถือว่าทุกคนมีความส าคัญเท่าเทียมกันและจะต้องพึงพากันเพื่อความสำเร็จร่วมกัน
(2) การเรียนรู้ที่ดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน มีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูล และการเรียนรู้ต่าง ๆ
 (3) การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม โดยเฉพาะทักษะในการทำงานร่วมกัน
 (4) การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มที่ใช้ในการทำงาน
(5) การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถตรวจสอบและวัดประเมินได้ หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกัน
 ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
 รูปแบบนี้มุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ด้วยตนเองและด้วยความร่วมมือและความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะสังคมต่าง ๆ เช่นทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะแสวงหาความรู้ ทักษะการคิด การแก้ปัญหาและอื่น ๆ
 ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
 รูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการหลัก ๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนนและระบบการให้รางวัลแตกต่างกันออกไป เพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดต่างก็ใช้หลักการเดียวกัน คือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการ และมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน คือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัยการร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน และแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระ และวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัลเป็นประการสำคัญ
เพื่อความกระชับในการน าเสนอ ผู้เขียนจึงจะน าเสนอกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
 ทั้ง 6 รูปแบบต่อเนื่องกันดังนี้

วิดิโอที่เกี่ยวข้อง


    💜1. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจิ๊กซอร์(Jigsaw)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

1.1จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่า
กลุ่มบ้านของเรา (home group)
1.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ 1 ส่วน
(เปรียบเสมือนได้ชิ้นส่วนภาพตัดต่อคนละ 1 ชิ้นและหาคำตอบในประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้
1.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอื่น ซึ่งได้รับเนื้อหาเดียวกันตั้งเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ(expert group) ขึ้นมา และร่วมกันทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระนั้นอย่าละเอียดและร่วมกันอภิปรายหาคำตอบประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้
1.4 สมาชิกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับไปสู่กลุ่มบ้านของเรา แต่ละคนช่วยสอนเพื่อนในกลุ่มให้เข้าใจในสาระที่ตนได้ศึกษาร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เช่นนี้ สมาชิกทุกคนก็จะได้เรียนรู้ภาพรวมของสาระทั้งหมด
1.5 ผู้เรียนทุกคนทำแบบทดสอบ แต่ละคนจะได้คะแนนเป็นรายบุคคล และนำคะแนนของทุกคนในกลุ่มบ้านของเรามารวมกัน(หรือหาค่าเฉลี่ย) เป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดได้รับรางวัล


วิดิโอที่เกี่ยวข้อง


    💙2. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ เอส. ที. เอ. ดี. (STAD)ค าว่า “STAD” เป็นตัวย่อของ “Student Teams – Achievement Division”  กระบวนการดำเนินการมีดังนี้
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ study team

2.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่า
กลุ่มบ้านของเรา (home group)
2.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระนั้นร่วมกัน เนื้อหา
สาระนั้นอาจมีหลายตอน ซึ่งผู้เรียนอาจต้องท าแบบทดสอบในแต่ละตอนและเก็บคะแนนของตนไว้
2.3 ผู้เรียนทุกคนทำแบบทดสอบครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นการทดสอบรวบยอดและนำคะแนนของ
ตนไปหาคะแนนพัฒนาการ ซึ่งหาได้ดังนี้
คะแนนพื้นฐาน: ได้จากค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบย่อยหลาย ๆ ครั้งที่ผู้เรียนแต่ละคนท าได้
คะแนนที่ได้: ได้จากการน าคะแนนทดสอบครั้งสุดท้ายลบคะแนนพื้นฐาน
คะแนนพัฒนาการ: ถ้าคะแนนที่ได้คือ

  • -11 ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = 0
  • -1 ถึง -10 คะแนนพัฒนาการ = 10
  • +1 ถึง 10 คะแนนพัฒนาการ = 20
  • + 11 ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = 30

2.4 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราน าคะแนนพัฒนาการของแต่ละคนในกลุ่มมารวมกันเป็น
คะแนนของกลุ่ม กลุ่มใดได้คะแนนพัฒนาการของกลุ่มสูงสุด กลุ่มนั้นได้รางวัล


วิดิโอที่เกี่ยวข้อง


      💛 3. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที. เอ. ไอ. (TAI)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Team –Assisted Individualization

       คำว่า “TAI” มาจาก “Team –Assisted Individualization” ซึ่งมีกระบวนการดังนี้
3.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มบ้านของเรา (home group)
3.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกัน
3.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา จับคู่กันท าแบบฝึกหัด
ก.ถ้าใครทำแบบฝึกหัดได้ 75% ขึ้นไปให้ไปรับการทดสอบรวบยอดครั้งสุดท้ายได้
ข.ถ้ายังทำแบบฝึกหัดได้ไม่ถึง 75% ให้ทำแบบฝึกหัดซ่อมจนกระทั่งทำได้ แล้วจึงไปรับการทดสอบรวบยอดครั้งสุดท้าย
3.4 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราแต่ละคนน าคะแนนทดสอบรวบยอดมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มใดได้คะแนนสูงสุดกลุ่มนั้นได้รับรางวัล

     💓4. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที. จี. ที. (TGT)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Team Game Tournament

ตัวย่อ “TGT” มาจาก”Team Game Tournament” ซึ่งมีการด าเนินการดังนี้
4.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มบ้านของเรา (home group)
4.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา ได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกัน
4.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายกันเป็นตัวแทนกลุ่มไปแข่งขันกับกลุ่มอื่นโดยจัดกลุ่มแข่งขันตามความสามารถ คือคนเก่งในกลุ่มบ้านของเราแต่ละกลุ่มไปรวมกัน คนอ่อนก็ไปรวมกับคนอ่อนของกลุ่มอื่น กลุ่มใหม่ที่รวมกันนี้เรียกว่ากลุ่มแข่งขัน กำหนดให้มีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน
4.4 สมาชิกในกลุ่มแข่งขัน เริ่มแข่งขันกันดังนี้
ก. แข่งขันกันตอบคำถาม 10 คำถาม
ข. สมาชิกคนแรกจับคำถามขึ้นมา 1 คำถาม และอ่านคำถามให้กลุ่มฟัง
ค. ให้สมาชิกที่อยู่ซ้ายมือของผู้อ่านคำถามคนแรกตอบคำถามก่อน ต่อไปจึงให้คนถัดไปตอบจนครบ
ง. ผู้อ่านคำถามเปิดคำตอบ แล้วอ่านเฉลยคำตอบที่ถูกให้กลุ่มฟัง
จ. ให้คะแนนค าตอบดังนี้ผู้ตอบถูกเป็นคนแรกได้ 2 คะแนน ผู้ตอบถูกคนต่อไปได้ 1 คะแนน
ผู้ตอบผิดได้ 0คะแนน
ฉ. ต่อไปสมาชิกคนที่ 2 จับคำถามที่ 2 และเริ่มเล่นตามขั้นตอน ข-จ ไปเรื่อยๆจนกระทั่งคำถามหมด
 ช. ทุกคนรวมคะแนนของตนเอง

  •  ผู้ได้คะแนนอันดับ 1 ได้โบนัส 10 คะแนน
  •  ผู้ได้คะแนนอันดับ 2 ได้โบนัส 8 คะแนน
  •  ผู้ได้คะแนนอันดับ 3 ได้โบนัส 5 คะแนน
  •  ผู้ได้คะแนนอันดับ 4 ได้โบนัส 4 คะแนน
    4.5 เมื่อแข่งขันเสร็จแล้ว สมาชิกกลุ่มกลับไปกลุ่มบ้านของเรา แล้วนำคะแนนที่แต่ละคนได้รวมเป็นคะแนนของกลุ่ม

     💝5. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ แอล. ที. (L.T)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

“L.T.” มาจากค าว่า Learning Together ซึ่งมีกระบวนการที่ง่ายไม่ซับซ้อน ดังนี้
5.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน
5.2 กลุ่มย่อยกลุ่มละ 4 คน ศึกษาเนื้อหาร่วมกัน โดยก าหนดให้แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ช่วย
กลุ่มในการเรียนรู้ ตัวอย่างเช่น
สมาชิกคนที่ 1: อ่านคำสั่ง สมาชิกคนที่ 2: หาค าตอบ
สมาชิกคนที่ 3: หาคำตอบ สมาชิกคนที่ 4: ตรวจค าตอบ
5.3 กลุ่มสรุปค าตอบร่วมกัน และส่งค าตอบนั้นเป็นผลงานกลุ่ม
5.4 ผลงานกลุ่มได้คะแนนเท่าไร สมาชิกทุกคนในกลุ่มนั้นจะได้คะแนนนั้นเท่ากันทุกคน

  💗6. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ จี. ไอ. (G.I.)
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

“G.I.” คือ “Group Investigation” รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนช่วยกันไป
สืบค้นข้อมูลมาใช้ในการเรียนรู้ร่วมกัน โดยด าเนินการเป็นขั้นตอนดังนี้
6.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน
6.2 กลุ่มย่อยศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกันโดย
ก. แบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ แล้วแบ่งกันไปศึกษาหาข้อมูลหรือค าตอบ
ข. ในการเลือกเนื้อหา ควรให้ผู้เรียนอ่อนเป็นผู้เลือกก่อน
6.3 สมาชิกแต่ละคนไปศึกษาหาข้อมูล/ค าตอบมาให้กลุ่ม กลุ่มอภิปรายร่วมกันและสรุปผลการศึกษา
6.4 กลุ่มเสนอผลงานของกลุ่มต่อชั้นเรียน

  💘7. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซี. ไอ. อาร์. ซี. (CIRC)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปแบบการสอน การ์ตูน

     รูปแบบ CIRC หรือ “Cooperative Integrated Reading and Composition” เป็นรูปแบบการเรียนการสอน  แบบร่วมมือที่ใช้ในการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะ รูปแบบนี้ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรมคือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการบูรณาการภาษากับการเรียน โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้(Slavin, 1995: 104-110)
7.1 ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถในการอ่าน นักเรียนในแต่ละกลุ่มจับคู่ 2
คน หรือ 3 คน ทำกิจกรรมการอ่านแบบเรียนร่วมกัน
7.2 ครูจัดทีมใหม่โดยให้นักเรียนแต่ละทีมต่างระดับความสามารถอย่างน้อย 2 ระดับ ทีมทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น เขียนรายงาน แต่งความ ท าแบบฝึกหัดและแบบทดสอบต่าง ๆ และมีการให้คะแนนของแต่ละทีม ทีมใดได้คะแนน 90% ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบัตรเป็น“ซุปเปอร์ทีม” หากได้คะแนนตั้งแต่ 80-89% ก็จะได้รับรางวัลรองลงมา
7.3 ครูพบกลุ่มการอ่านประมาณวันละ 20 นาที แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน แนะนำคำศัพท์ใหม่ ๆทบทวนศัพท์เก่า ต่อจากนั้นครูจะก าหนดและแนะน าเรื่องที่อ่านแล้วให้ผู้เรียนท ากิจกรรมต่างๆ ตามที่ผู้เรียนจัดเตรียมไว้ให้ เช่นอ่านเรื่องในใจแล้วจับคู่อ่านออกเสียงให้เพื่อนฟังและช่วยกันแก้จุดบกพร่อง หรือครูอาจจะให้นักเรียนช่วยกันตอบค าถาม วิเคราะห์ตัวละครวิเคราะห์ปัญหาหรือทำนายว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปเป็นต้น
7.4 หลังจากกิจกรรมการอ่าน ครูนำอภิปรายเรื่องที่อ่านโดยครูจะเน้นการฝึกทักษะต่าง ๆในการอ่าน
    เช่น การจับประเด็นปัญหา การทำนาย เป็นต้น
7.5 นักเรียนรับการทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ นักเรียนจะได้รับคะแนนเป็นทั้งรายบุคคลและทีม
7.6 นักเรียนจะได้รับการสอนและฝึกทักษะการอ่านสัปดาห์ละ 1 วัน เช่น ทักษะการจับใจความสำคัญ ทักษะการอ้างอิง ทักษะการใช้เหตุผล เป็นต้น
7.7 นักเรียนจะได้รับชุดการเรียนการสอนเขียน ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อการเขียนได้ตามความสนใจ นักเรียนจะช่วยกันวางแผนเขียนเรื่องและช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องและในที่สุดตีพิมพ์ผลงานออก
7.8 นักเรียนจะได้รับการบ้านให้เลือกอ่านหนังสือที่สนใจ และเขียนรายงานเรื่องที่อ่านเป็นรายบุคคล โดยให้ผู้ปกครองช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการอ่านของนักเรียนที่บ้าน โดยมีแบบฟอร์มให้
8. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Instruction)รูปแบบนี้พัฒนาขึ้นโดย เอลิซาเบธ โคเฮน และคณะ (Elizabeth Cohen) เป็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกับรูปแบบ จี. ไอ. เพียงแต่จะสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่มมากกว่าการท าเป็นรายบุคคลนอกจากนั้นงานที่ให้ยังมีลักษณะของการประสานสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับทักษะหลายประเภท และเน้นการให้ความส าคัญกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยการจัดงานให้เหมาะสมกับความสามารถและความถนัดของผู้เรียนแต่ละคน ดังนั้นครูต้องค้นหาความสามารถเฉพาะทางของผู้เรียนที่อ่อน โคเฮนเชื่อว่า หากผู้เรียนได้รับรู้ว่าตนมีความถนัดในด้านใด จะช่วยให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองในด้านอื่น ๆ ด้วย รูปแบบนี้จะไม่มีกลไกการให้รางวัล เนื่องจากเป็นรูปแบบที่ได้ออกแบบให้งานที่แต่ละบุคคลทำ สามารถสนองตอบความสนใจของผู้เรียนและสามารถจูงใจผู้เรียนแต่ละคนอยู่แล้ว
 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้เนื้อหาสาระด้วยตนเองและด้วยความร่วมมือและช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการประสานสัมพันธ์ ทักษะการคิด ทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการแก้ปัญหาฯลฯ


    👻สรุป👻
    👈👉 รูปแบบการสอน รูปแบบการเรียนการสอน (Teaching Learning Model) หรือระบบการสอนคือโครงสร้างองค์ประกอบการดำเนินการสอน ที่ได้รับการจัดเป็นระบบสัมพันธ์สอดคล้องกับทฤษฏี หลัการเรียนรู้ หรือการสอนที่รูปแบบนั้นยึดถือและได้รับการพิสูจน์ ทดสอบว่ามีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายเฉพาะของรูปแบบนั้น ๆโดยทั่วไปแบบแผนการด าเนินการสอนดังกล่าวมักประกอบด้วย ทฤษฏีหลักการที่รูปแบบนั้นยึดถือและกระบวนการสอนที่มีลักษณะเฉพาะอันจะนำผู้เรียนไปสู่จุดมุ่งหมายเฉพาะรูปแบบนั้นกำหนด ซึ่งผู้สอนสามารถนำไปใช้เป็นแบบแผนหรือ
     👈👉แบบอย่างในการจัดและดำเนินการสอนอื่น ๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะเช่นเดียวกันได้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ใช้กันแพร่หลายมีจำนวนมาก แต่ละรูปแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนตามจุด เน้นด้วย ขั้นตอน วิธีการ องค์ประกอบที่แตกต่างกันไป บางรูปแบบใช้ได้ในวงกว้างบางรูปแบบจะใช้เจาะจงในวงแคบเฉพาะส่วน ผู้ใช้ควรศึกษาพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกับมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษา

          ขั้นพื้นฐาน ซึ่งมีรูปแบบการสอน ดังต่อไปนี้

  •  🙈 1. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธพิสัย
  •  🙈2. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย
  •  🙈3. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านกระบวนการคิด
  •  🙈4. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ

    👈👉การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้แก่การคำนึงถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนสำคัญที่สุดทำอย่างไรจะทำให้เรียนทุกคนเกิดการเรียนรู้สูงสุดตามศักยภาพของแต่ละคน จึงต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียน เนื้อหา เวลา สื่อและปัจจัยอื่น ๆ เพื่อนำมาใช้วางแผนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสม เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียนมากที่สุด จุดหมายของหลักสูตรต้องการพัฒนานักเรียนอย่างสมดุลทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ ผ่านโครงสร้างกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ ซึ่งสอดคล้องกับปัญญา 8 ด้านของมนุษย์ในแต่ละกลุ่มสาระ นักเรียนควรจะได้รับการพัฒนา ความรู้ ทักษะ จิตพิสัย ทั้งสามด้าน จุดเน้นมากน้อยตามธรรมชาติ วิชาและวัยของเด็ก กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ต้องการให้นักเรียนเข้าใจพัฒนาการของมนุษย์ มีทักษะในการเคลื่อนไหว ออกกำลังกาย และเห็นคุณค่าต่อการป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ จะเห็นว่านักเรียนต้องได้เรียนรู้ทั้งเนื้อหา ทักษะ และจิตพิสัย