วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่8

📣ยังมีวิธีสอนหรือเทคนิคการเรียนรู้ยังมีอีกมากมาย📣
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

   เช่น   
  • การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน Problem - based Learning ( PBL )
  • การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning : BBL)
  • Creativity-Based Learning “การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน”
  • การจัดการเรียนรู้แบบ STAD
  • การจัดการเรียนการสอนแบบ TGT (Teams – Games -Tournaments)
  • การสอนแบบร่วมกันคิด  (Numbered  Heads  Together)
  • กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซี. ไอ. อาร์. ซี. (CIRC)
  • การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI 



      📖การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน Problem - based Learning ( PBL )📖
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ PBL

       แนวคิดในเรื่องของ การเรียนรู้ ที่นักจิตวิทยาทางการศึกษา นำมาเป็นประเด็นในการถกเถียงกันมีอยู่ 2 กลุ่ม  คือ 

                1.กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้เชิงพฤติกรรมนิยม (Behaviorist learning)  ในกลุ่มนี้เชื่อว่า ความรู้มีอยู่มากมายในโลก  แต่ความรู้ที่สามารถถ่ายโยงมายังผู้เรียน อย่างเป็นรูปธรรม มีเพียงเล็กน้อย   การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง   นักจิตวิทยาที่ได้รับการยอมรับกัน ในกลุ่มนี้  คือ  สกินเนอร์ (Skinner)

                2.  กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้เชิงพุทธิปัญญานิยม (Cognitive learning theory)  มีความเชื่อว่า  ความรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างที่มีลักษณะเฉพาะ (particular structure)  กับสิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา (psychological  environment)   ของผู้เรียนแต่ละบุคคล   การเรียนรู้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้ปรับเปลี่ยนโลกภายในของตน โดยอาศัยกระบวนการปฏิสัมพันธ์ที่เกิดจากการรับความรู้ใหม่เข้าไปในสมอง หรือจากการปรับเปลี่ยนความรู้เก่าให้เข้ากับความรู้ใหม่   นักจิตวิทยาที่ได้รับการยอมรับแนวคิดมากที่สุดในกลุ่มนี้  คือ  เพียเจท์ (Piaget)
       ต่อมาได้มีทฤษฎีการเรียนรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลายทฤษฎี   ทฤษฎีการเรียนรู้ที่นักการศึกษาส่วนใหญ่ให้ความสนใจกันมากได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivist learning theory)  ซึ่งมีแนวคิดที่สอดคล้องกับการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 มากที่สุด    ซึ่งในกลุ่มนี้มีความเชื่อว่า  การเรียนรู้จะเกิดขึ้น เมื่อผู้เรียนได้สร้างความรู้ที่เป็นของตนเองขึ้นมา จากความรู้ที่มีอยู่เดิมหรือจากความรู้ที่รับเข้ามาใหม่    จากแนวคิดดังกล่าวจึงนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิธีเรียน วิธีสอน แนวใหม่ ห้องเรียนในศตวรรษที่ 21  ครูไม่ใช่ผู้จัดการทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้เรียนต้องได้ลงมือปฏิบัติเอง   สร้างความรู้ ที่เกิดจากความเข้าใจของตนเอง และมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น  (Active learning)

      รูปแบบการเรียนรู้ ที่เกิดจากแนวคิดนี้ มีอยู่หลายรูปแบบ   ได้แก่  การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning)    การเรียนรู้แบบช่วยเหลือกัน (Collaborative learning) การเรียนรู้โดยการค้นคว้าอย่างอิสระ (Independent   investigation method)  รวมทั้ง  การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning)

   Problem – based Learning    คือ

  •   Problem  พรอบเบลม  แปลว่า ปัญหา   
  •   based  เบด  แปลว่า  ฐาน  พื้นฐาน    
  •   Learning  เลินนิ่ง  แปลว่า การเรียนรู้   

   Problem – based Learning  หรือ PBL  ก็คือ วิธีการเรียนรู้วิธีหนึ่ง  ที่มีรูปแบบการเรียนรู้ โดยการนำปัญหามาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้

    รูปแบบของการจัดการเรียนรู้แบบ การใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ  PBL  พอจะกล่าวได้ดังนี้

                1. ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง (student-centered learning)

                2. จัดกลุ่มผู้เรียนให้มีขนาดเล็ก (ประมาณ 3 – 5  คน)

                3. ครูทำหน้าที่ เป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator)   หรือผู้ให้คำแนะนำ  (guide)

                4.ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้น (สิ่งเร้า)ให้เกิดการเรียนรู้

                5. ลักษญะของปัญหาที่นำมาใช้ ต้องมีลักษณะคลุมเครือ ไม่ชัดเจน มีวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลายอาจมีคำตอบได้หลายคำตอบ

                6. ผู้เรียนเป็นผู้แก้ปัญหาโดยการแสวงหาข้อมูลใหม่ ๆ ด้วยตนเอง (self-directed learning)

                7.การประเมินผล  ใช้การประเมินผลจากสถานการณ์จริง(authentic assessment)  ดูจากความสามารถในการปฏิบัติ ของผู้เรียน

         การสอนโดยใช้ PBL  ต่างจากการสอนรูปแบบอื่นอย่างไร

              การสอนโดยใช้รูปแบบ Problem-based Learning ไม่ใช่การสอนแบบแก้ปัญหา (Problem solving method)   หลายคนเข้าใจผิด  เช่น   สอนเนื้อหาไปบางส่วนก่อน   จากนั้นก็ทดลองให้นักเรียนแก้ปัญหาเป็นกลุ่มย่อย  ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นวิธีสอนแบบแก้ปัญหา ไม่ใช่  PBL     ส่วนการสอนแบบ  PBL นั้น  ต้อง นำปัญหาที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ของผู้เรียนโดยตรงต้องมาก่อน  ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นหรือเป็นตัวนำทางให้ผู้เรียน ไปแสวงหาความรู้ความเข้าใจ ด้วยตนเอง   เพื่อจะได้ค้นพบคำตอบของปัญหาดังกล่าว   กระบวนการหาความรู้ด้วยตนเองนี้ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการแก้ไขปัญหา
(Problem solving skill) ได้ด้วยตนเอง                                                         อ้างอิง :ยรรยง สินธฺุ์งาม



วิดิโอที่เกี่ยวข้อง


            💡การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning : BBL)💡
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ (Brain based Learning : BBL)

       การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เป็นแนวความคิดของนักประสาทวิทยาและนักการศึกษากลุ่มหนึ่ง ที่สนใจการทำงานของสมองมาประสานกับการจัดการศึกษา โดยนำความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสมองมาใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์แต่ละช่วงวัย สมองมนุษย์เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ต้องใช้ในการเรียนรู้ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการต่างได้ให้นิยาม หรือแนวทางที่แตกต่างกัน ดังนี้

  •  เคน และเคน (Caine and Caine. 1989 : Web Site) อธิบายว่า การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่อยู่บนพื้นฐานของโครงสร้างและหน้าที่การทำงานของสมองหากสมองยังปฏิบัติตามกระบวนการทำงานปกติการเรียนรู้ก็ยังจะเกิดขึ้นต่อไป ทฤษฎีนี้เป็นสหวิทยาการเพื่อทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีที่สุดซึ่งมาจากงานวิจัยทางประสาทวิทยา
  • อีริก (Eric Jensen. 2000) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดการเชื่อมต่อไปยังสมอง ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม ถือเป็นการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยเป็นการรวมสหวิทยาการต่าง ๆ เช่น เคมี ชีวิวิทยา ระบบประสาทวิทยา จิตวิทยาสังคมวิทยา มาอธิบายกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยเฉพาะความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้กับสมอง เพราะการเรียนรู้บนฐานสมองไม่ได้มุ่งเน้นการออกแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมอง หรือทาอย่างไรให้สมองเจริญเติบโต แต่หัวใจสำคัญของการเรียนรู้บนฐานสมองอยู่ที่จะออกแบบการเรียนการสอนอย่างไรให้สมองสามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุด 

     การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หมายถึง แนวการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักการของสมองกับการเรียนรู้ การเรียนรู้ต้องใช้ทุกส่วนทั้งการคิด ความรู้สึกและการลงมือปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นการสรุปความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้

      เคน และเคน (Caine and Caine) ได้สรุปการเรียนรู้ของสมองไว้ 3 ลักษณะ ดังนี้


  • 1. การเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน เป็นการเรียนรู้เนื้อหา ข้อมูล ขั้นตอนและวิธีการต่าง ๆ
  • 2. การเรียนรู้อย่างมีความหมาย เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเรียนรู้โดยมีเป้าหมายสิ่งที่เรียนมีประโยชน์และมีคุณค่าสำหรับผู้เรียน ผู้เรียนมีแรงบันดาลใจที่กระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้และผู้เรียนมีความศรัทธาต่อสิ่งที่เรียนรู้
  • 3. การเรียนรู้แบบสัมผัสโดยตรง เป็นการเรียนรู้ที่ผสมผสานการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานเข้ากับการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับจากประสบการณ์ตรงทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง


      เคน และเคน (Caine and Caine) เสนอแนะให้ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบสัมผัสโดยตรง เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังเสนอแนะไว้ว่า ผู้สอนควรจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงหลักการเรียนรู้ 12 ประการและองค์ประกอบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานด้วย เนื่องจากจะช่วยให้การเรียนรู้ของสมองมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน

   วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (วิมลรัตน์ สุมทรโรจน์. 2550 ; อ้างอิงมาจาก นิราศ  จันทรจิตร. 2553 : 339-341) จึงได้เสนอกรอบในการจัดกิจกรรมตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ ดังนี้

   1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นที่ครูวางแผนในการสนทนากับนักเรียน เพื่อเตรียมความพร้อมให้เข้าใจในสิ่งที่จะเรียน และสามารถเชื่อมโยงไปสู่เรื่องที่จะเรียนได้

   2. ขั้นตกลงกระบวนการเรียนรู้ เป็นขั้นที่ครูและนักเรียนตกลงร่วมกันว่านักเรียนจะต้องทำกิจกรรมใดบ้าง อย่างไร และจะมีวิธีวัดและประเมินผลอย่างไร

  3. ขั้นเสนอความรู้ใหม่ เป็นขั้นที่ครูจะต้องเชื่อมโยงประสบการณ์การต่าง ๆมาสร้างองค์ความรู้ใหม่ คือ การสอนหรือการสร้างความคิดรวบยอดให้แก่นักเรียน จนเกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียน

  4. ขั้นฝึกทักษะ เป็นขั้นที่นักเรียนเข้ากลุ่มแล้วร่วมมือกันเรียนรู้ และสร้างผลงานในขั้นนี้คำว่า ฝึกทักษะ หมายถึง การวิจัย การฝึกปฏิบัติการทดลอง การสังเกตจากสิ่งแวดล้อมแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ การทำแบบฝึกการวาดภาพ และการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ จนประสบผลสำเร็จได้ผลงานออกมา (ผลงานควรชัดเจนน่าสนใจ ไม่ใช่ใส่กระดาษ A4 หรือกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แต่ควรเป็นกระดาษขนาดใหญ่ เช่นกระดาษปรู๊ฟ ใช้นำเสนออาจเป็นการเขียนธรรมดาหรือแผนผังความคิด)

  5. ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นขั้นที่ตัวแทนแต่ละกลุ่มที่ได้จากการจับสลาก ออกมาเสนอผลงาน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

  6. ขั้นสรุปความรู้ เป็นขั้นที่ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้แล้วให้นักเรียนทำใบงานเป็นรายบุคคล แล้วเปลี่ยนกันตรวจโดยครูและนักเรียนร่วมกันเฉลย แล้วให้นักเรียนแต่ละคนปรับปรุงผลงานตนเอง ให้ถูกต้องครูรับทราบแล้วเก็บผลงานไว้ในแฟ้มสะสมงานของตนเอง

  7. ขั้นกิจกรรมเกม เป็นขั้นที่ครูจัดทำข้อสอบมาให้นักเรียนทำเป็นรายบุคคลโดยไม่ซักถามกัน ส่งเป็นกลุ่มแล้วเปลี่ยนกันตรวจเป็นกลุ่ม โดยครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยแล้วให้แต่ละกลุ่มหาค่าคะแนนเฉลี่ย บอกครูบันทึกไว้แล้วประกาศผลเกม กลุ่มใดได้คะแนนเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นกลุ่มชนะเลิศ
     📍การจัดกิจกรรมทั้ง 7 ขั้นตอนนี้ เป็นกิจกรรมประสมประสานระหว่างการใช้กระบวนการกลุ่มแผนผังความคิด ใบงาน และเกม เป็นหลักการที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ลงมือทำเองได้ฝึกฝนซ้ำในเรื่องเดิมทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และจดจำได้แม่นยำ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และยังสอดคล้องกับหลักการเรียนของ BBL (Brain Based Learning) คือการเรียนเรื่องเดิมโดยใช้กิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ได้แม่นยำ และจำได้นาน

    เจนเซ่น (Jensen. 2000 : 200-201) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน 5 ขั้นตอน ดังนี้

   1. Preparation เป็นการเตรียมสมองสำหรับการเชื่อมโยงความรู้ ผู้สอนอาจจะให้กำลังใจหรือกระตุ้นผู้เรียนด้วยการอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วและสอบถามความต้องการของผู้เรียนว่าต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรในหัวข้อนั้นอีกบ้าง

   2. Acquisition เป็นการเตรียมสมองเพื่อซึมซับข้อมูลใหม่ สมองจะเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลความรู้เพิ่มเติมกับข้อมูลใหม่ตามความเป็นจริงอย่างสร้างสรรค์

   3. Elaboration ผู้เรียนจะเรียนรู้โดยการใช้ข้อมูลและข้อคิดเห็นเพื่อสนับสนุนเชื่อมโยงการเรียนรู้และเพื่อตรวจสอบแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด

   4. Memory Formation สมองจะทำงานภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยดึงข้อมูลจากการเรียนรู้รวมทั้งอารมณ์และสภาพทางร่างกายของผู้เรียนในเวลานั้นมาใช้แบบไม่รู้ตัวเป็นไปโดยอัตโนมัติ การสร้างความจำเกิดขึ้นทั้งในขณะที่ผู้เรียนพักผ่อนและนอนหลับ

   5. Functional Integration ผู้เรียนจะประยุกต์ข้อมูลเดิมมาใช้กับสถานการณ์ เช่น ผู้เคยเรียนการซ่อมเครื่องมือ อุปกรณ์ โดยการดูการซ่อมเตาอบที่บ้านพักมาแล้วเขาต้องสามารถประยุกต์ทักษะการซ่อมเตาอบไปซ่อมอุปกรณ์ชนิดอื่นได้ด้วย                                                      อ้างอิง:ประภัสรา โคตะขุน



วิดิโอที่เกี่ยวข้อง




📎Creativity-Based Learning “การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน”📎

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Creativity-Based Learning “การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน”
การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน Creativity-based learning Model

        รูปแบบการสอนนี้ได้ทำการวิจัยต่อยอด มาจาก Problem -based learning PBLซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางซึ่งใช้ได้ผลดีในหลายประเทศ เป็นการสอนแบบ Active learning คือการจัดการสอนให้ผู้เรียนตื่นตัว ในการค้นคว้า แทนที่จะรอรับการบรรยายแบบเดิม ในการสอนแบบเดิม ผู้สอนจะมีกำหนดการสอนที่ชัดเจน ตั้งแต่บทที่ 1 ไปเรื่อยๆ จนจบเนื้อหาในหลักสูตรนั้นๆ ลักษณะการสอน แยกออกเป็นวิชาอย่างชัดเจน แต่ใน CBL ผู้สอน จะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้บรรยายเนื้อหาต่างๆ อย่างละเอียดมาเป็นผู้อำนวยการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ แปลงจาก lecturer มาเป็น facilitator ครับ

การสอนทำโดยกระบวนการ 8 ข้อ และบรรยากาศ 9 ข้อ ต่อไปนี้
  กระบวนการ 8 ข้อ
  1. สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นความอยากรู้ Inspiration
  2. เปิดโอกาสให้ค้นหา รวบรวมข้อมูล แยกแยะและนำมาสร้างเป็นความรู้ Self study การสอนมักจะทำเมื่อมคำถาม เป็นการสอนแบบรายคนหรือรายกลุ่ม มากกว่าการสอนรวม
  3. ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสหาทางแก้ปัญหา ด้วยตนเอง Individual problem solving
  4. ใช้เกมส์ให้มีส่วนในการเรียนรู้ในห้องเรียน Game-based learning
  5. .แบ่งกลุ่มทำโครงงาน team project.
  6. ให้นำเสนอผลงาน ด้วยวิธีการต่างๆ creative presentation
  7. ใช้การวัดผลที่เป็นการวัดผลด้านต่างๆ ออกมา ตามเป้าหมายที่ได้ออกแบบไว้
  8. Informal assessments and multidimensional assessment Tools.

    ส่วนบรรยากาศ 9 ข้อ 
  1. ครูควรเหลือเวลาให้เด็กค้นคว้ามากๆ คุยมากๆ นำเสนอมากๆ
  2. ใช้เวลาในการสอนให้น้อยลงและมักจะเดินสอนตามกลุ่มมากกว่าสอนรวม
  3. หลีกเลี่ยงการอธิบายอย่างละเอียด แต่จะพยายามให้เด็กค้นหาคำตอบเอง ครูจึงมักจะตอบคำถาม ด้วยคำถามเพื่อให้เด็กสนใจต่อ
  4. ในการสอนแบบเดิม ผู้เรียนมักกลัวผิด เพราะผู้สอนมักจะมีคำตอบที่ถูกเอาไว้แล้ว ดังนั้นใน CBLครูจะหลีกเลี่ยงการตัดสินแบบเด็ดขาด เช่น ถูกต้อง ผิด แต่จะใช้วิธีถามว่า แน่ใจหรือ ทำไมคิดอย่างนั้น หรือ เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้
  5. บรรยากาศของ CBL ที่สำคัญมากๆ คือ การสนับสนุนให้คิด
  6. ใช้เรื่องที่เด็กสนใจเป็นเนื้อหานำ และการค้นคว้า และเนื้อหาวิชาความรู้ตามตำราเป็นตัวตามช่วงเวลาเรียนควรยาวกว่า 90 นาที และอาจเรียนหลายวิชาพร้อมๆ กัน ขึ้นกับปัญหาที่ตั้งเกี่ยวโยงกับวิชาใดบ้าง ครูอาจสอนพร้อมๆ กันทั้ง 2-3 วิชาในห้องเรียนเดียวกัน
  7. CBL จะเน้นให้เด็กสนใจพัฒนาการตนเองในด้านต่างๆ จึงไม่จำเป็นต้องวัดผลครั้งเดียว ควรมีการวัดผลและรายงานผลให้เด็กรู้และพัฒนาตนเองในแต่ละด้าน
  8. CBL จะได้ผลดีจากความสมัครใจ ความสนใจของเด็ก และความร่วมมือ มากกว่าการบังคับให้รู้ดังนั้นการตัดคะแนนและลงโทษ เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
  9. ครูจะเป็นผู้รับฟังเรื่องราวที่เด็กคิด นำเสนอ และเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเด็ก ครูอาจมีการติติง และแสดงความคิดเห็นในจังหวะที่เหมาะสม และสิ่งที่จำเป็นมากๆ คือการให้กำลังใจ



วิดิโอที่เกี่ยวข้อง




📤การจัดการเรียนรู้แบบ STAD📥

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การจัดการเรียนรู้แบบ stad


   1. การจัดการเรียนรู้แบบ STAD หมายถึง รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่ง ที่ มีชื่อเต็มว่า Student Teams Achievement Divisions เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน ซึ่งประกอบด้วย นักเรียนที่เรียนเก่ง 1 คน นักเรียนที่เรียนปานกลาง 2-3 คน และนักเรียนที่เรียนอ่อน 1 คน

2. จุดประสงค์ เพื่อจูงใจผู้เรียนให้กระตือรือร้นกล้าแสดงออกและช่วยเหลือกันในการทำความเข้าใจเนื้อหานั้นๆ อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้กับทุกวิชา ตั้งแต่คณิตศาสตร์ ศิลปะ ภาษา และสังคมศึกษา และใช้ได้กับระดับประถมศึกษาจนถึงมหาวิทยาลัย

3. แนวคิด การสอนแบบ STAD พัฒนาขึ้นโดย Robert E. Slavin ผู้อำนวยการโครงการศึกษาระดับ ประถมศึกษาศูนย์วิจัยประสิทธิภาพการเรียนของผู้เรียนมีปัญหาทางด้านวิชาการ แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอฟกินส์ สหรัฐอเมริกา และเป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนคณิตศาสตร์ Slavin ได้พัฒนาเทคนิคนี้ขึ้นเพื่อขจัดปัญหาทางการศึกษาโดยมุ่งเน้นทักษะการคิด การเรียนที่เป็นระบบ เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการเรียนเป็นกลุ่มและเป็นการสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้เรียน

4. องค์ประกอบสำคัญของเทคนิค STAD รางวัลของกลุ่ม ผลการรับผิดชอบรายบุคคล โอกาสความสำเร็จที่เท่าเทียมกัน

5. แนวทางการจัดการเรียนรู้การสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD มี 5 ขั้นตอนหลักดังนี้ การนำเสนอข้อมูล  การทำงานร่วมกัน  การทดสอบ การปรับปรุงคะแนน การตัดสินผลงานของกลุ่ม

6. การเรียนการสอนตามรูปแบบ STAD  มีลักษณะการเรียนรู้ ดังนี้
   6.1. ครูอธิบายงานที่ต้องทำในกลุ่มลักษณะการเรียนภายในกลุ่มกฎกติกาข้อตกลงในการทำงานกลุ่ม
   6.2. ครูเป็นผู้กำหนดกลุ่มโดยผู้เรียนจะได้รับมอบหมายให้อยู่ในกลุ่มคละเพศคละความสามารถ ในกลุ่มหนึ่งจะมีสมาชิกจำนวน 4 – 5 คน
   6.3. หลังจากที่ผู้สอนได้สอนเนื้อหาตามบทเรียนแล้ว มีการมอบหมายใบงาน/แบบฝึกหัดให้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยกันในกลุ่มของตนเอง
   6.4. มีการประเมินในสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนไป โดยทดสอบคะแนนเป็นรายบุคคล

7. บทบาทของผู้สอนกับการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD
   7.1. จัดผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 4-5 คน โดยให้สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน ่
   7.2. ให้ผู้เรียนจัดที่นั่งเป็นกลุ่มโดยมีช่องว่างระหว่างกลุ่มที่ผู้สอนสามารถเดินดูการทำงานของกลุ่ม ได้
   7.3. ชี้แจงบทบาทของผู้เรียน เกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD และกิจกรรมภายในกลุ่ม

8. บทบาทของผู้สอนกับการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD
   8.1. สร้างบรรยากาศที่เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เช่น ยกย่อง ชมเชยตามโอกาสที่เหมาะสม
  8.2. เป็นที่ปรึกษาของทุกกลุ่มย่อย ติดตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของกลุ่มและสมาชิกในกลุ่ม
  8.3. เป็นผู้กำหนดว่า ผู้เรียนควรอยู่ในกลุ่มเดิมนานเท่าใด

    9. บทบาทของผู้เรียนกับการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD
  9.1. สมาชิกในกลุ่มต้องมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
  9.2. ทุกคนต้องพัฒนาให้สามารถสื่อความหมายได้ดี
  9.3. สมาชิกแต่ละคนจะต้องได้รับมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบ
  9.4. ทุกคนต้องให้เกียรติและรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่มสามารถวิจารณ์ความคิดเห็น ของเพื่อนได้ แต่ไม่วิจารณ์ตัวบุคคลและควรวิจารณ์ในลักษณะที่ทำให้ชัดเจนขึ้น
  9.5. ทุกคนรับผิดชอบการเรียนรู้ด้วยตนเองและสมาชิกในกลุ่ม
     📍วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคกลุ่มผลลัพธ์ (stad )จะเห็นได้ว่าเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนเรียนเป็นกลุ่ม เปิดโอกาสให้นักเรียนประสบผลสาเร็จในการเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันในกลุ่มทาให้นักเรียนช่วยเหลือกันในขณะเรียน ซักถามปัญหากันอย่างอิสระคนเก่งสามารถอธิบายให้เพื่อนในกลุ่มเข้าใจ และนักเรียนสามารถอภิปรายถึงข้อดีข้อเสียของการหาคำตอบในปัญหาคณิตศาสตร์ได้ ซึ่งปัญหาคณิตศาสตร์เป็นปัญหาทีท้าทาย และมีปัญหาที่แปลกใหม่ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน ความพยายามของนักเรียนแต่ละคนในการหาคำตอบจากปัญหาเดียวกัน จะทำให้เกิดความก้าวหน้าทีละน้อย และประสบการณ์ ที่มีค่า                                                                             อ้างอิง:ฉันทพัฒน์ อุตตะมา



วิดิโอที่เกี่ยวข้อง




📌การจัดการเรียนการสอนแบบ TGT (Teams – Games -Tournaments) 📌
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การเล่นเกมเป็นกลุ่ม

เทคนิคการจัดกิจกรรม TGT เป็นเทคนิครูปแบบหนึ่งในการสอนแบบร่วมมือและมีลักษณะของกิจกรรมคล้ายกันกับ STAD แต่เพิ่มเกมและการแข่งขันเข้ามาด้วย เหมาะสำหรับการจัดการเรียนการสอนในจุดประสงค์ที่มีคำตอบถูกต้องเพียงคำตอบเดียว

     องค์ประกอบ 4 ประการ ของ TGT

   1. การสอน เป็นการนำเสนอความคิดรวบยอดใหม่หรือบทเรียนใหม่ อาจเป็นการสอนตรงหรือจัดในรูปแบบของการอภิปราย หรือกลุ่มศึกษา 

   2. การจัดทีม เป็นขั้นตอนการจัดกลุ่ม หรือจัดทีมของนักเรียน โดยจัดให้คละกันทั้งเพศ และความสามารถและทีมจะต้องช่วยกันและกัน ในการเตรียมความพร้อมและความเข้มแข็งให้สมาชิกทุกคน 

   3. การแข่งขัน การแข่งขันมักจัดในช่วงท้ายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียน ซึ่งจะใช้คำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนมาในข้อ 1 และผ่านการเตรียมความพร้อมของทีมมาแล้วการจัดโต๊ะแข่งขันจะมีหลายโต๊ะ แต่ละโต๊ะจะมีตัวแทนของกลุ่ม/ทีม แต่ละทีมมาร่วมแข่งขัน ทุกโต๊ะการแข่งขันควรเริ่มดำเนินการเพื่อนำไปเทียบหาค่าคะแนนโบนัส 

   4. การยอมรับความสำเร็จของทีม ให้นำคะแนนโบนัสของแต่ละคนในทีมมารวมกันเป็นคะแนนของทีม และหาค่าเฉลี่ยทีมที่มีค่าสูงสุด จะได้รับการยอมรับให้เป็นทีมชนะเลิศ โดยอาจเรียกชื่อทีมที่ได้ชนะเลิศ กับรองลงมา โดยใช้ชื่อเก๋ ๆ ก็ได้ หรืออาจให้นักเรียนตั้งชื่อเอง และควรประกาศผลการแข่งขันในที่สาธารณะด้วย 


    ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

  1. ครูสอนความคิดรวบยอดใหม่ หรือบทเรียนใหม่ โดยอาจใช้ใบความรู้ให้นักเรียนได้ศึกษา หรือใช้กิจกรรมการศึกษาหาความรู้รูปแบบอื่นตามที่ครูเห็นว่าเหมาะสม 
  2. แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 – 5 คน เพื่อปฏิบัติตามใบงาน 
  3. นักเรียนแต่ละกลุ่มเตรียมความพร้อมให้กับสมาชิกในกลุ่มทุกคน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนและพร้อมที่จะเข้าสู่สนามแข่งขัน 
  4. แต่ละกลุ่มประเมินความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของสมาชิกในกลุ่ม โดยอาจตั้งคำถามขึ้นมาเองและให้สมาชิกกลุ่มทดลองตอบคำถาม 
  5. สมาชิกกลุ่มช่วยกันอธิบายเพิ่มเติมในจุดที่บางคนยังไม่เข้าใจ 
  6. ครูจัดให้มีการแข่งขัน โดยใช้คำถามตามเนื้อหาในบทเรียน 
  7. จัดการแข่งขันเป็นโต๊ะ โดยแต่ละโต๊ะจะมีตัวแทนของทีมต่าง ๆ ร่วมแข่งขัน อาจให้แต่ละทีมส่งชื่อผู้แข่งขันแต่ละโต๊ะมาก่อนและเป็นความลับ 
  8. ทุกโต๊ะแข่งขันจะเริ่มดำเนินการแข่งขันพร้อมๆกันโดยกำหนดเวลาให้ 
  9. เมื่อการแข่งขันจบลง ให้แต่ละโต๊ะจัดลำดับผลการแข่งขัน และให้หาค่าคะแนนโบนัส 
  10. ผู้เข้าร่วมแข่งขันกลับไปเข้ากลุ่มเดิมของตนพร้อมด้วยนำคะแนนโบนัสไปด้วย 
  11. นักเรียนแต่ละกลุ่มนำคะแนนโบนัสของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของทีม หาค่าเฉลี่ย ที่ที่ได้ค่าเฉลี่ย (อาจใช้คะแนนโบนัสรวมกันก็ได้) สูงสุด จะได้รับการยอมรับเป็นทีมชนะเลิศและรองลงไป 
  12. ให้ตั้งชื่อทีมชนะเลิศ และรองลงมา 
  13. ครูประกาศผลการแข่งขันในที่สาธารณะ เช่น ปิดประกาศที่บอร์ด ลงข่าวหนังสือพิมพ์หรือประกาศหน้าเสาธง                                                                                           อ้างอิง:ประภัสรา โคตะขุน



✂การสอนแบบร่วมกันคิด  (Numbered  Heads  Together)✂
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


      ร่วมกันคิด  (Numbered  Heads  Together) เริ่มจากครูผู้สอนถามคำถาม เปิดโอกาสให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยคิดหาคำตอบ จากนั้นครูผู้สอนจึงเรียกให้นักเรียนคนใดคนหนึ่ง              จากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือทุกๆกลุ่มตอบคำถาม เป็นวิธีการที่นิยมใช้ในการทบทวนหรือตรวจสอบ ความเข้าใจและข้อสรุปต่าง ๆ ร่วมกันคิด(Numbered  Heads  Together)  

    มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้
   1.แบ่งกลุ่มนักเรียนคละความสามารถ 4 – 6  คน นักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 
2 – 4  คนและนักเรียนอ่อน 1 คน แต่ละกลุ่มเลือกประธานและเลขานุการกลุ่ม แล้วกลุ่มกำหนดหมายเลขประจำตัวของสมาชิกแต่ละคน
  2.ครูผู้สอนตั้งคำถามหรือให้ปัญหาหรือให้โจทย์ โดยให้เป็นปัญหาเดียวกันทุกๆกลุ่ม อาจให้ดูแผ่นใสหรือแจกเป็นบัตรกิจกรรม หรือใบงาน หรือเอกสารฝึกหัดให้ทุกกลุ่มแล้วแต่สะดวก กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับการทบทวนหรือตรวจสอบความเข้าใจ ตัวอย่าง เช่น กิจกรรมท่องป่า  สามหนุ่มสามใบ ปฏิทินมหัศจรรย์
  3. เปิดโอกาสให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันคิดหาคำตอบ สนทนา ซักถามจนทุกคนในกลุ่มมีความเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาตรงกัน สามารถตอบคำถามและอธิบายคำตอบได้
  4. ครูผู้สอนสุ่มให้นักเรียนคนใดคนหนึ่ง จากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตามหมายเลขที่กำหนดหรือทุกๆกลุ่มคำตอบคำถาม พร้อมบอกวิธีการหาคำตอบ ให้คะแนนเป็นคะแนนของกลุ่มหรือเฉลี่ยคะแนนเป็นคะแนนของแต่ละคนในกลุ่ม
  5. ประกาศเกียรติคุณหรือให้รางวัลและให้โบนัส ดังนี้
  1)   ให้โบนัสอีก  5  คะแนน สำหรับกลุ่มที่ได้คะแนนรวมหรือคะแนนเฉลี่ยสูงสุด
  2) ให้โบนัสอีก 3 และ 1 คะแนน สำหรับกลุ่มที่ได้คะแนนรวมหรือคะแนนเฉลี่ยรองลงมาตามลำดับ


🍩กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซี. ไอ. อาร์. ซี. (CIRC)🍩
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


    กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซี. ไอ. อาร์. ซี. (CIRC)
รูปแบบ CIRC  หรือ “Cooperative Integrated Reading and Composition” เป็นรูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือที่ใช้ในการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะ รูปแบบนี้ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรมคือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการบูรณาการภาษากับการเรียน 
   
     โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้(Slavin, 1995: 104-110)
7.1 ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถในการอ่าน นักเรียนในแต่ละกลุ่มจับคู่ 2  คน หรือ 3  คน ทำกิจกรรมการอ่านแบบเรียนร่วมกัน

  7.2 ครูจัดทีมใหม่โดยให้นักเรียนแต่ละทีมต่างระดับความสามารถอย่างน้อย 2 ระดับ ทีมทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น เขียนรายงาน แต่งความ ทำแบบฝึกหัดและแบบทดสอบต่าง ๆ และมีการให้คะแนนของแต่ละทีม ทีมใดได้คะแนน 90% ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบัตรเป็น  “ซุปเปอร์ทีม” หากได้คะแนนตั้งแต่ 80-89% ก็จะได้รับรางวัลรองลงมา       
                                         
7.3 ครูพบกลุ่มการอ่านประมาณวันละ 20 นาที แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน แนะนำคำศัพท์ใหม่ ๆ ทบทวนศัพท์เก่า ต่อจากนั้นครูจะกำหนดและแนะนำเรื่องที่อ่านแล้วให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่ผู้เรียนจัดเตรียมไว้ให้ เช่นอ่านเรื่องในใจแล้วจับคู่อ่านออกเสียงให้เพื่อนฟังและช่วยกันแก้จุดบกพร่อง หรือครูอาจจะให้นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม วิเคราะห์ตัวละคร วิเคราะห์ปัญหาหรือทำนายว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปเป็นต้น

7.4 หลังจากกิจกรรมการอ่าน ครูนำอภิปรายเรื่องที่อ่าน โดยครูจะเน้นการฝึกทักษะต่าง ๆ ในการอ่าน เช่น การจับประเด็นปัญหา การทำนาย เป็นต้น

7.5 นักเรียนรับการทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ นักเรียนจะได้รับคะแนนเป็นทั้งรายบุคคลและทีม

7.6 นักเรียนจะได้รับการสอนและฝึกทักษะการอ่านสัปดาห์ละ 1 วัน เช่น ทักษะการจับใจความสำคัญ ทักษะการอ้างอิง ทักษะการใช้เหตุผล เป็นต้น

7.7 นักเรียนจะได้รับชุดการเรียนการสอนเขียน ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อการเขียนได้ตามความสนใจ นักเรียนจะช่วยกันวางแผนเขียนเรื่องและช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องและในที่สุดตีพิมพ์ผลงานออกมา

7.8 นักเรียนจะได้รับการบ้านให้เลือกอ่านหนังสือที่สนใจ และเขียนรายงานเรื่องที่อ่านเป็นรายบุคคล โดยให้ผู้ปกครองช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการอ่านของนักเรียนที่บ้าน โดยมีแบบฟอร์มให้


                                                                               
วิดิโอที่เกี่ยวข้อง



🍇การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI🍇

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

    💮ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน💮

1. จัดนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ประกอบด้วยนักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน

2. ทดสอบจัดระดับ (Placement Test) ตามคะแนนที่ได้

3. นักเรียนศึกษาเอกสารแนะนำบทเรียน ทำกิจกรรมจากสื่อที่ได้รับ เสร็จแล้วส่งให้เพื่อนในกลุ่มตรวจ โดยมีข้อแนะนำดังนี้

                3.1 ตอบถูกหมดทุกข้อ ให้เรียนต่อ
                3.2 ตอบผิดบ้างให้ซักถามเพื่อนในกลุ่มเพื่อช่วยเหลือก่อนที่จะถามครู

4.เมื่อนักเรียนทำแบบฝึกหัดทักษะในสื่อที่ได้เรียนจบแล้ว
                4.1 ทดสอบย่อยฉบับ A เป็นรายบุคคล ส่งให้เพื่อนในกลุ่มตรวจ ถ้าได้คะแนน 75% ขึ้นไป ถือว่าผ่าน
               4.2 ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 75% ให้ไปเรียนจากสื่อที่ศึกษาไปแล้วอีกครั้ง แล้วทดสอบฉบับ B เป็นรายบุคคล

5.ทดสอบนักเรียนด้วยแบบทดสอบประจำหน่วย (Unit Test) ถ้าไม่ผ่าน 75% ผู้สอนจะพิจารณาแก้ไขปัญหาอีกครั้ง

6.ครูคิดคะแนนเฉลี่ยของแต่ละกลุ่ม แล้วจัดอันดับดังนี้
                 6.1 กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์สูง ได้เป็น Super Team (ยอดเยี่ยม)
                 6.2 กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ปานกลาง ได้เป็น Great Team (ดีมาก)
                 6.3 กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ต่ำ ได้เป็น Good Team (ดี)



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การฟัง การ์ตูน
วิดิโอที่เกี่ยวข้อง


👀คิดยกกำลังสอง - ทักษะสำหรับโลกใบใหม่👀
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การคิดยกกำลัง การ์ตูน

ทักษะ  หมายถึง ความชัดเจน และความชำนิชำนาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งบุคคลสามารถสร้างขึ้นได้จากการเรียนรู้ ได้แก่ ทักษะการอาชีพ การกีฬา การทำงานร่วมกับผู้อื่น การอ่าน การสอน การจัดการ ทักษะทางคณิตศาสตร์ ทักษะทางภาษา ทักษะทางการใช้เทคโนโลยี ฯล

  • 1. จินตนาการ (lmagination)
  • 2. เเรงดลใจ (Inspiration)
  • 3. ความเข้าใจลุ่มลึก (Insight)
  • 4. ณาญทัศน์  (Intuition)


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


          💖ทักษะเเห่งการเรียนรู้💖

  • ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking) เป็น ความสามารถในการคิดที่จะเป็นส่วนช่วยตัดสินใจและแก้ไขปัญหาโดยการคิดสร้าง สรรค์ เพื่อค้นหาทางเลือกต่าง ๆ
  • ทักษะอดทน  นิสัยที่ไม่ท้อถอยในการทำคุณงามความดีทุกชนิด ผู้ที่มีนิสัยอดทนจึงเป็นผู้ที่ไม่เคยล้มเลิก ทำความดีกลางคันทุกกรณี
  •  ทักษะใฝ่รู้  ใฝ่เรียนรู้ หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน แสวงหาความรู้ จากแหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน       
  •  ทักษะจากแหล่งเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียนใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
  • ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ หมายถึง ความตั้งใจพิจารณาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยไม่เห็นคล้อยตามข้อเสนอ ไม่ด่วนสรุปการเห็นคล้อยตาม เป็นการตั้งคำถามท้าทายหรือโต้แย้งสมมุติฐานที่อยู่เบื้องหลัง พยายามเปิดกว้างทางความคิดออกสู่ความแตกต่างในด้านต่าง ๆ มากขึ้นให้ได้ประโยชน์มากกว่าเดิม
  • ทักษะการสื่อสาร หมายถึง ความสามารถในการใช้คำพูดและภาษาท่าทางเพื่อแสดงความรู้สึนึกคิดของตนอย่าง เหมาะสมกับสภาพวัฒนธรรมและสถานการณ์ต่างๆ โดยสามารถที่จะแสดงความคิดเห็น ความปรารถนา ความต้องการ การขอร้อง การเตือน และการขอความช่วยเหลือ



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


  1. ทัศนคติ  หมายถึง สภาวะความพร้อม ของบุคคล ที่จะ แสดงพฤติกรรม ออกมา ในทางสนับสนุน หรือ ต่อต้านบุคคล สถาบัน สถานการณ์ หรือ แนวความคิด
  2. อุปนิสัย  หมายความว่า ความประพฤติที่เคยชินเป็นพื้นมาในสันดาน เช่น ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปเทศน์โปรดผู้ใดจะต้องทรงพิจารณาถึงอุปนิสัยของผู้นั้นก่อน ความประพฤติที่เคยชินจนเกือบเป็นนิสัย เช่น นักเรียนคนนี้มีอุปนิสัยดี
  3. ทักษะ   หมายถึง ความชัดเจน และความชำนิชำนาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งบุคคลสามารถสร้างขึ้นได้จากการเรียนรู้ ได้แก่ ทักษะการอาชีพ การกีฬา การทำงานร่วมกับผู้อื่น การอ่าน การสอน การจัดการ ทักษะทางคณิตศาสตร์ ทักษะทางภาษา ทักษะทางการใช้เทคโนโลยี ฯล
  4. ความรู้   หมายถึง  (อังกฤษ: Knowledge) คือความเข้าใจในเรื่องบางเรื่อง หรือสิ่งบางสิ่ง ซึ่งอาจจะรวมไปถึงความสามารถในการนำสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการ ความสามารถในการรู้บางอย่างนี้เป็นสิ่งสนใจหลักของวิชาปรัชญา (ที่หลายครั้งก็เป็นเรื่องที่มีการโต้เถียงอย่างมาก) และมีสาขาที่ศึกษาด้านนี้โดยเฉพาะเรียกว่าญาณวิทยา (epistemology) ความรู้ในทางปฏิบัติมักเป็นสิ่งที่ทราบกันในกลุ่มคน และในความหมายนี้เองที่ความรู้นั้นถูกปรับเปลี่ยนและจัดการในหลาย ๆ แบบ


     👻การฟัง👻

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การฟัง การ์ตูน


     การฟังเป็นทักษะทางภาษาที่มนุษย์ใช้มากที่สุด บางครั้งอาจมีผู้เข้าใจว่า การฟังมีความหมายเหมือนการได้ยิน แต่ในความเป็นจริงแล้วการฟังกับการได้ยินมีความหมายแตกต่างกัน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546, หน้า 811) ให้ความหมายของคาว่า “ฟัง” ไว้ว่า “ตั้งใจสดับ คอยรับเสียงด้วยหู” ส่วนการได้ยิน (2546, หน้า 419) หมายถึง “รับรู้เสียงด้วยหู” จากทั้งสองความหมายนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า การฟังมีความเกี่ยวข้องกับการตั้งใจฟังต่างจากการได้ยินซึ่งเป็นเพียงการรับรู้เสียงด้วยหูเท่านั้น
            ปรีชา ช้างขวัญยืน กล่าวว่า การฟัง คือ พฤติกรรมการใช้ภาษาที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคลของบุคคลหนึ่งหลังจากได้ยินเสียงพูดหรือเสียงอ่าน ซึ่งเป็นพฤติกรรมการใช้ภาษาภายนอกตัวบุคคลจากอีกบุคคลหนึ่ง เมื่อเสียงนั้นมากระทบโสตประสาทของผู้รับ คือ ผู้ฟังแล้ว ผู้ฟังก็จะนำเสียงพูดเหล่านั้น เข้าสู่กระบวนการทางสมอง คือ การคิด ด้วยการแปลความ ตีความจนเกิดความเข้าใจ ทั้งนี้ถ้าเสียงดังกล่าวเป็นเสียงในภาษาเดียวกันของทั้งผู้พูดและผู้ฟัง การฟังก็จะเกิดผลได้ง่าย ถูกต้องและชัดเจน (ปรีชา ช้างขวัญยืน, 2525, หน้า 4-5)
            จากที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปความหมายของการฟังได้ว่า การฟัง หมายถึง พฤติกรรมการรับสารผ่านโสตประสาทอย่างตั้งใจเชื่อมโยงกับกระบวนการคิดในสมอง โดยสมองแปลความหมายของเสียงจนเกิดความเข้าใจและมีปฏิกิริยาตอบสนอง การฟังจึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล


   สรุป
 เล่น 
การจัดการเรียนรู้แบบเล่นปนเรียน (Play and Learn) หมายถึง วิธีการจัดกิจกรรมให้กับเด็กปฐมวัยโดยยึดหลักจิตวิทยาและธรรมชาติของเด็กที่ชอบเล่นอยู่แล้ว ด้วยการใช้เทคนิควิธีการบูรณาการสาระความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ที่ต้องการให้เกิดกับเด็ก และการเล่นให้เข้าด้วยกัน ทำให้เด็กได้เล่น แสดงออก ได้ร้องเพลง ทำให้เด็กรู้สึกสนุกสนาน อยากเรียนรู้มากขึ้น การเล่นปนเรียนเป็นการเล่นที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญ ญาภายใต้การอำนวยความสะดวก สนับสนุน ชี้แนะ ช่วยเหลือของครูในด้านต่างๆ เพื่อให้การเรียนรู้แบบเล่นปนเรียนเกิดประโยชน์ต่อเด็กมากที่สุด
    การเล่นปนเรียนเป็นการเล่นที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาด้านต่างๆให้กับเด็กปฐมวัย ดังที่เพียเจท์ (Piaget) กล่าวว่า การเล่นมีวามสำคัญต่อพัฒนาการทางสติปัญญา จากการเล่นทำให้เด็กสามารถแยกแยะสิ่งต่างๆจากสิ่งเร้าได้ และขณะที่เด็กตอบสนองสิ่งเร้าเขาจะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆเข้ามาในสมอง นอกจากนี้การเล่นเป็นการระบายอารมณ์ การเล่นช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม และเป็นการเรียนรู้ทางสังคมให้กับเด็ก ซึ่งการเล่นปนเรียนมีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยดังนี้

  • ช่วยสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่รู้สึกผ่อนคลายให้กับเด็ก
  • ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้โดยผ่านขบวนการค้นคว้า สำรวจ ทดลองผ่านการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า
  • ช่วยให้เด็กมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และส่งเสริมเชาวน์ปัญญาจากการเล่นปนเรียน
  • ช่วยพัฒนาเด็กให้มีทักษะทางสังคม
  • ช่วยให้เด็กเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นนามธรรมง่ายยิ่งขึ้น
  • ส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กให้กับเด็ก
  • พัฒนาเด็กในด้านคุณธรรมและจริยธรรม
  • ส่งเสริมทักษะทางภาษาให้กับเด็ก

  ทำ
    การลงมือทำหมายถึง ผู้เรียนได้กระทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง ผ่านการปฏิบัติการจริงคือ ผู้เรียนได้ฝึกในสภาพสิ่งแวดล้อมจริง ได้ฝึกคิดและลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง ทั้งนี้ การสนับสนุนให้เด็กได้พัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามวัยและได้ผลตามความคาดหวังของสังคมนั้น การจัดประสบการณ์จะให้ความสำคัญกับบทบาทการเรียนรู้ของเด็ก จึงได้มีการศึกษาแนว คิดที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้ การใช้แนวคิดที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือกระทำหรือการปฏิบัติในสภาพจริง จึงเป็นที่สนใจและนำมาใช้ ดังที่ประเทศไทยได้กำหนดพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 เน้นให้มีแนวการจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งกล่าวถึงการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติหรือลงมือกระทำ

     การเรียนรู้โดยการลงมือทำเป็นแนวคิดหรือความเชื่อที่สนับสนุนให้คนเราปฏิบัติสิ่งต่างๆด้วยตนเองตามความสนใจ ตามความถนัดและศักยภาพ ด้วยการศึกษา ค้นคว้า ฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะจนถึงการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะเชื่อว่าหากคนเราได้กระทำจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นเป็นแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ผู้เรียนจะสนุกสนานที่จะสืบค้นหาความรู้ต่อไป มีความสุขที่จะเรียน



วิดิโอท่เกี่ยวข้อง




สัปดาห์ที่7


❤รูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนการสอนของไทย❤
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสอนแบบ ไทย


    👉ผู้เขียนได้เสนอรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาในต่างประเทศซึ่งได้รับการยอมรับและนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนกันอย่างกว้างขวางพอสมควร  นักศึกษาไทยได้ติดตามศึกษาความก้าวหน้าด้านวิชาเหล่านี้ และได้นำมาเผยแพร่ในวงการศึกษาไทยซึ่งได้รับความนิยมมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปตามความคิดเห็นและความเชื่อของผู้รับในขณะเดียวกันได้มีนักคิดนักการศึกษาและครูอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ในการจัดการศึกษาและจัดการเรียนรู้จำนวนหนึ่งที่ได้พยายามคิดค้นหรือพัฒนา รูปแบบการเรียนการสอนขึ้นจากความรู้ความคิดและประสบการณ์ของตนหรือประยุกต์จากทฤษฎีหรือหลักการที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้วเช่นประยุกต์จากหลักพุทธธรรมหรือประยุกต์จากต่างประเทศโดยพิจารณาให้เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของไทยปัญหาความต้องการและธรรมชาติของเด็กไทย
กระบวนการเรียนการสอนที่ได้รับพัฒนาอย่างเป็นระบบและได้รับทดลองใช้เพื่อพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพแล้วถือว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอนหรือเป็นแบบแผนการจัดการเรียนการสอนที่ผู้อื่นสามารถนำไปใช้แล้วเกิดผลตามวัตถุประสงค์ของรูปแบบนั้นได้นับว่าเป็นการช่วยเหลือแนวทางแก่ผู้ปฏิบัติไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกหากได้รูปแบบที่ดีกับวัตถุประสงค์ในการสอนของตนก็สามารถสอนตามแบบแผนและได้ผลตามที่ต้องการได้ 
  ประเทศไทยรูปแบบลักษณะดังกล่าวมาจากกลุ่มบุคคล2กลุ่ม. คือนักศึกษาที่สนใจศึกษาและทำวิจัยเกี่ยวกับการเรียนการสอนกลุ่มหนึ่งและอีกกลุ่มหนึ่งคือนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอกที่ศึกษาวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาผลงานจากกลุ่มหลังนี้มีจำนวนมากกว่ากลุ่มแรกมากเนื่องจากจำนวนนิสิตนักศึกษามีมากแต่คุณภาพการทำงานย่อมหลากหลายตามความสามารถของผู้ทำด้วย
นอกจากการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนขึ้นดังกล่าวได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วยังมีกลุ่มบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งทั้งอยู่ในวงการศึกษาได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาและกลุ่มที่อยู่ในวงการอื่นที่ไม่ใช่การศึกษาแต่สนใจในเรื่องการศึกษาได้นำเสนอแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่างเป็นระบบเป็นกระบวนการคือขั้นตอนที่เป็นไปอย่างมีลำดับชัดเจนซึ่งถึงแม้ยังไม่ได้รับการทดลองใช้เป็นระบบและพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพตามหลักการแล้วแต่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมไม่น้อยผู้เขียนขอเรียกผลงานในลักษณะดังกล่าวว่า
"กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน". ดังนั้นในบทนี้ผู้เขียนจึงนำเสนอรูปแบบกระบวนการดังกล่าวข้างต้นโดยแบ่งออกเป็น3หมวดใหญ่ๆคือ 
  • 1.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักศึกษาไทย
  • 2.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
  • 3.กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน

   อนึ่งก่อนนำเสนอรูปแบบและกระบวนการดังกล่าวผู้เขียนขอทำความเข้าใจก่อนว่ารูปแบบบางรูปแบบที่นำเสนอและผู้เขียนเรียกว่ารูปแบบการเรียนการสอนนั้นบุคคลที่พัฒนารูปแบบขึ้นมาอาจจะไม่ได้เรียกชื่อของท่านว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอนบางท่านเรียกว่า"การสอนรูป" "แบบการสอน" "กระบวนการสอน" "การจัดการเรียนการสอน" "การสอนแบบ.." ซึ่งโดยความหมายและลักษณะของผลงานแล้วต้องกลับความหมายของรูปแบบการเรียนการสอนทั้งสิ้นดังนั้นผู้เขียนจึงขอใช้ว่า"รูปแบบการในการสอน"ทั้งหมดเพื่อความเป็นระเบียบและทำให้ผู้อ่านไม่เกิดความสับสน


  👩1.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยนักศึกษาไทย👨
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

         ผู้เขียนจะนำเสนอ4รูปแบบ ดังนี้
  • 1.รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนาโดย สมุน อมรวิวัฒน์
  • 2.รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการพัฒนาโดย สมุน อมรวิวัฒน์
  • 3.รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดเป็นเพื่อดำรงชีวิตในสังคมไทยพัฒนาโดยหน่วยศึกษา นิเทศก์ กรมสามัญศึกษา
  • 4.รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง:โมเดลซิปปา(CIPPA)  พัฒนาโดย ทิศนา แขมมณี


1.รูปแบบการเรียนการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์พัฒนาโดย สมุน อมรวิวัฒน์
   รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

  👸ความหมาย
การจัดการเรียนรู้โดยการใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์  เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงการกระทำกับการคิดวิเคราะห์เข้าด้วยกัน โดยผู้สอนสร้างหรือนำสถานการณ์ด้านต่างๆ มาให้ ผู้เรียนได้เผชิญสถานการณ์แบบต่าง ๆ  ซึ่งวงอาจเป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงของผู้เรียน เป็นการฝึกให้ผู้เรียนมีควรเชื่อมั่นในการนำความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร มาสรุปประเด็น เพื่อประเมินค่าว่าสิ่งใดถูกต้อง ดีงาม เกิดประโยชน์ ควรหรือไม่ควรแก่การปฏิบัติ และสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ปฏิบัติได้จริง เมื่อมีการเผชิญสถานการณ์และเจอปัญหาวิธีการจัดการเรียนรู้นี้เป็นการประยุกต์มาจากหลักพุทธธรรมและพุทธวิธี เพื่อนำไปใช้ให้เหมาะกับการเวลา ลักษณะเนื้อหาสาระและวัยของผู้เรียน

  👋ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้

  ขั้นตอนการจัดการเรียนโดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์นั้น กรมวิชาการ (2530) และ สมุน อมรวิวัฒน์, 2530 อ้างถึงใน มยุรี วิมลโสภณกิตติ, 2538 เสนอไว้ดังนี้

1.   ขั้นสร้างศรัทธา
ขั้นนี้เป็นกิจกรรมสร้างความสนใจและความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น ผู้เรียนสนใจและเชื่อมั่นว่าบทเรียนนี้สำคัญต่อชีวิตของเขา เชื่อมั่นว่าจะช่วยพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ เชื่อมั่นในตัวผู้สอนและเชื่อมั่นว่าบทเรียนนี้จะช่วยให้เขามีประสบการณ์ที่มีคุณค่า

2.   ขั้นศึกษาสังคม    (ฝึกทักษะรวบรวมข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริง ความรู้และหลักการ)
กิจกรรมนี้เป็นขั้นตอนที่เสนอสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของผู้เรียนเพื่อนำไปสู่การฝึกนิสัยและทักษะในการแสวงหาความรู้ข่าวสาร ดังนั้นในการฝึกผู้เรียนให้สามารถเผชิญสถานการณ์เกิดขึ้นในชีวิตจริงได้นั้น ผู้สอนจึงควรฝึกนิสัยฝึกทักษะในการแสวงหาความรู้เพื่อเป็นการเตรียมตัวในขั้นแรกของการศึกษา

3.   ขั้นระดมเผชิญสถานการณ์   (ฝึกทักษะการประเมินค่า)
การฝึกฝนและการเรียนรู้ประสบการณ์ขั้นนี้เป็นขั้นตอนของการผจญปัญหา และสถานการณ์ เป็นการนำข่าวสารความรู้ที่ได้มาจัดสรุปประเด็นของข่าวสารไว้อย่างเป็นระเบียบ แล้วประเมินค่าว่าประเด็นไหนถูกต้อง ดีงาม เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง ประเด็นใดบกพร่อง ผิดพลาด ชั่วร้าย ไม่เหมาะสม ไม่ถูกไม่ควร ทำไปจะเกิดผลร้าย หรือเป็นผลดีชั่วครู่ ชั่วยาม เคลือบแฝงความชั่วร้ายเอาไว้

4.  วิจารณ์ความคิด   (ฝึกทักษะการเลือกและการตัดสินใจ)
เมื่อผู้เรียนได้ฝึกการประเมินค่าข้อมูลต่างๆ ไว้หลายๆ ทางแล้วนั้น ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เร้าให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์วิจารณ์ทางเลือกต่าง ๆ  ก่อนตัดสินใจซึ่งมีความสำคัญมาก ผู้เรียนจะต้องรู้

5.  ปรับพฤติกรรม  (ฝึกการปฏิบัติ)
การปฏิบัติการเรียนรู้ประสบการณ์เรียนรู้ขั้นนี้ เป็นขั้นตอนของการเผด็จการ คือ การลงมือแก้ปัญหา และเผชิญสถานการณ์จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี

6. สรุปและการประเมินผล

ขั้นตอนี้เป็นการนำสาระและกิจกรรมของบทเรียนนับแต่เริ่มต้น มาสรุปย้ำ ซ้ำ ทวนตรวจสอบ โดยวิธีที่ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อนผู้เรียนประเมินซึ่งกันและกัน การประเมินผู้เรียนและวัดผลการเรียนการสอน


2.รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการพัฒนาโดย สมุน อมรวิวัฒน์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สุมน อมรวิวัฒน์

      ในปีพ.ศ.2526สมุน อมรวิวัฒน์ นักการศึกษาไทยผู้มีชื่อเสียงและมีผลงานทางการศึกษาจำนวนมากได้นำแนวคิดจากหนังสือพุทธธรรม ของพระราชณวรมุณีเกี่ยวกับการสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการมาสร้างเป็นหลักการและขั้นตอนการสอนตามแนวพุทธะวิธีขึ้น  รูปแบบการเรียนการสอนนี้พัฒนาขึ้นจากหลักการที่ว่าครูเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถจัดสภาพแวดล้อม แรงจูงใจและวิธีการสอนให้สิทธิ์เกิดศรัทธาที่จะเรียนรู้การฝึกฝนวิธีการคิดโดยแยบคายและนำไปสู่การปฏิบัติจนประจักษ์จริง โดยครูทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรช่วยให้สิทธิ์มีโอกาสคิดและแสดงออกอย่างถูกวิธี และสามารถพัฒนาให้สิทธิ์เกิดปัญญาและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม (สมุน อมรวิวัฒน์.2533,161)

✋วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
    รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความสามารถในการคิด(โยนิโสมนสิการ) การตัดสินใจและการแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน

✋กระบวนการการเรียนการสอนของรูปแบบ
  1ขั้นนำการสร้างเจตคติที่ดีต่อครูวิธีการเรียนและบทเรียน
  • 1.1จัดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสมได้แก่เหมาะสมและระดับชั้นของวัยผู้เรียนวิธีการเรียนการสอนและเนื้อหาของบทเรียน
  • 1.2การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับศิษย์ครูเป็นกัลยาณมิตรมาเห็นครูทำตนให้เป็นที่เคารพรักของสิทธิ์โดยมีบุคลากรที่ดีสะอาดแจ่มใสและสำรวมมีสุขภาพจิตดีมีความมั่นใจในตนเอง
  • 1.3การเสนอสิ่งเร้าและแรงจูงใจ
  • ก.ใช้สื่อการเรียนการสอนหรืออุปกรณ์และวิธีการต่างๆเพื่อเราความสนใจเช่นการจัดป้ายทรรศ  การนิเทศ เสนอเอกสารภาพ กรณีปัญหากรณี  ตัวอย่างสถานการณ์จำลอง เป็นต้น
  • ข.จัดกิจกรรมขั้นนำที่สนุกน่าสนใจ
  • ค.สิทธิ์ได้ตรวจสอบความรู้ความสามารถของตนและได้รับทราบผลทันที  

  2.ขั้นสอน
  • 2.1ครูเสนอปัญหาที่เป็นสาระสำคัญของบทเรียนหรือเสนอหัวข้อเรื่องประเด็นสำคัญของบทเรียนวิธีต่างๆ
  • 2.2ครูแนะนำแหล่งวิทยาการและแหล่งเรียนรู้
  • 2.3 ครูฝึกการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงความรู้และหลักการโดยใช้ทักษะที่เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เช่น  ทักษะทางวิทยาศาสตร์  ทักษะทางสังคม
  • 2.4ครูจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดลงมือค้นคว้าวิเคราะห์และสรุปความคิด
  • 2.5ครูฝึกการสรุปประเด็นของข้อมูล ความรู้ และเรียบเรียงเพื่อประเมินค่าโดยวิธีการเปลี่ยน ความคิดทดลอง ทดสอบ จะเป็นทางเลือกและ ทางออกของการแก้ปัญหา
  • 2.6สิทธิ์ดำเนินการเลือกและตัดสินใจ
  • 2.7สิทธิ์ทำกิจกรรมเพื่อปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ผลการเลือกและการตัดสินใจ

   3.ขั้นสรุป
  • 3.1 ครูและศิษย์รวบรวมข้อมูลจากการสังเกตุ การปฏิบัติทุกขั้นตอน
  • 3.2 ครูและศิษย์อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้
  • 3.3 ครูและศิษย์สรุปผลการปฏิบัติ
  • 3.4 ครูและศิษย์สรุปบทเรียน
  • 3.5 ครูวัดและประเมินผลการเรียนการสอน

  ✋ ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะได้พัฒนาทักษะในการคิดการตัดสินใจและการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม


3.รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดเป็นเพื่อดำรงชีวิตในสังคมไทยพัฒนา โดยหน่วยศึกษา นิเทศก์ กรมสามัญศึกษา

    หน่วยศึกษานิเทศกรมสามัญศึกษาได้พัฒนารายวิชา"การคิดเป็นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมไทย"ขึ้น เพื่อพัฒนานักเรียนระดับมัธยมศึกษาให้สามารถคิดไปเลยรู้จักเข้าใจตนเองรายวิชาประกอบด้วยเนื้อหา3เรื่อง คือ 1.การพัฒนาความคิดสติปัญญา 2.การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมสัจธรรม
3.การพัฒนาอารมณ์ความรู้สึก

    👊วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
    รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนากระบวนการคิดให้ผู้เรียนสามารถคิดเป็นคือคิดโดยพิจารณาข้อมูล3ด้านได้แก่ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลทางวิชาการเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข

👊กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่1 ขั้นสืบค้นปัญหาเผชิญสถานการณ์ในวิธีการดำรงชีวิต
       ผู้สอนอาจนำเสนอสถานการณ์ในการดำรงชีวิตผู้สอนอาจนำเสนอสถานการณ์ให้ผู้เรียนสืบค้นปัญหาหรืออาจจะใช้สถานการณ์และปัญหาจริงที่ผู้เรียนประสบมาในชีวิตตนเองหรือผู้สอนอาจจัดเป็นสถานการณ์จำลองหรือนำผู้เรียนไปเผชิญสถานการณ์นอกห้องเรียนก็ได้สถานการณ์ที่ใช้ในการศึกษาอาจเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวกับตนเองสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นหลักวิชาการก็ได้เช่นสถานการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม ครอบครัว การเรียน การทำงานและสภาพแวดล้อมเป็นต้น

ขั้นที่2. ขั้นรวบรวมข้อมูลและผสมผสานข้อมูล2ด้าน.  
    เมื่อค้นพบปัญหาแล้วให้ผู้เรียนศึกษาข้อมูลความรู้ต่างๆที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์นั้นโดยรวบรวมข้อมูลที่มีให้ครบทั้ง3ด้านคือด้านที่เกี่ยวกับตนเองสังคมและสิ่งแวดล้อมและด้านหลักวิชาการ

ขั้นที่3 ขั้นการตัดสินใจอย่างมีเป้าหมาย
    เมื่อมีข้อมูลพร้อมแล้วให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาโดยพิจารณา ไตร่ตรองถึงผลที่เกิดขึ้นกับตนเองผู้อื่นและสังคมโดยรวมและตัดสินใจ  โดยเลือกทางที่ดีที่สุดคือทางที่เป็นเพื่อไปเกื้อกูลต่อชีวิตทั้งหลาย

ขั้นที่4 ขั้นปฏิบัติและตรวจสอบ
    เมื่อตัดสินใจเลือกแนวทางปฏิบัติได้แล้วให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองหรือร่วมมือกับกลุ่มตามแผนงานที่กำหนดไว้อย่างพากเพียรไม่ย่อท้อ

ขั้นที่5  ขั้นประเมินผลและวางแผนพัฒนา
     เมื่อปฏิบัติตามแผนงานที่กำหนดไว้ลุล่วงแล้วให้ผู้เรียนประเมินผลการปฏิบัติว่าการปฏิบัติประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใดมีปัญหาอุปสรรคอะไรและเกิดผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง และการวางแผนที่จะพัฒนาปรับปรุง การปฏิบัติให้ดีนั้นได้ผลสมบูรณ์ขึ้นหรือวางแผนงานในการพัฒนาเรื่องใหม่ต่อไป

  👊ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
หน่วยศึกษานิเทศกรมสามัญศึกษาได้ทดลองใช้รูปแบบดังกล่าวในการสอนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาแล้วพบว่าผู้เรียนมีความสามารถในการคิดเป็นความสามารถแก้ปัญหาต่างๆมีความเข้าใจในตนเองและผู้อื่นมากขึ้นเข้าใจระบบความสัมพันธ์ในสังคมและเกิดทักษะและเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต


4.รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง:โมเดลซิปปา(CIPPA)  
พัฒนาโดย ทิศนา แขมมณี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทิศนา แขมมณี
ทฤษฎีหรือหลักการแนวคิด ของรูปแบบ

    รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (Cippa  Model) หรือรูปแบบการประสานห้าแนวคิด  ได้พัฒนาขึ้นโดย ทิศนา  แขมมณี   รองศาสตราจารย์ประจำคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ซึ่งได้พัฒนารูปแบบจากประสบการณ์ในการสอนมากว่า  30  ปี และพบว่าแนวคิดจำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา  จึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกันเกิดเป็นแบบแผนขึ้น แนวคิดดังกล่าวได้แก่  

  • 1. แนวคิดการสร้างความรู้ 
  • 2. แนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ 
  • 3. แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้
  • 4. แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้
  • 5. แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนความรู้


    เมื่อนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนพบว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ครบทุกด้าน  ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย  อารมณ์  สติปัญญาและสังคม  โดยหลักการของโมเดลซิปปา ได้ยึดหลักการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  ในตัวหลักการคือการช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้  ช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด  มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและได้เรียนรู้จากกันและกัน  มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้  ความคิดเห็นและประสบการณ์  ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ   ร่วมกับการผลิตผลงานซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายและสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้นักเรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิด  Constructivism  (ทิศนา  แขมมณี, 2542 )

    แนวคิดทั้ง 5 เป็นที่มาของแนวคิด "CIPPA" ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด โดยการให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง จากแนวคิดข้างต้น สรุปเป็นหลักซิปปา (CIPPA) ได้ดังนี้

1.  C มาจากคำว่า Construction of knowledge👀
    หลักการสร้างความรู้ หมายถึง การให้ผู้เรียนสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructivism ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นประสบการณ์เฉพาะตนในการสร้างความหมายของสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง ซึ่งการที่ผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนี้เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา

2.  I มาจากคำว่า Interaction👀
    หลักการปฏิสัมพันธ์ หมายถึง การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งตามทฤษฎี Constructivism และ Cooperative Learning เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่บุคคลจะต้องอาศัยและพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกัน กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคล และแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม

3.  P มาจากคำว่า Process Learning👀
   หลักการเรียนรู้กระบวนการ หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่างๆ เพราะทักษะกระบวนการเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสาระ (Content) ของการเรียนรู้ กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ เช่น กระบวนการคิด กระบวนการทำงาน กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม ฯลฯ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ตลอดชีวิต รวมทั้งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านสติปัญญาอีกทางหนึ่ง

4.  P มาจากคำว่า Physical participation / Involvement👀
   หลักการมีส่วนร่วมทางร่างกาย หมายถึง การให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำกิจกรรมในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางกาย กล่าวคือ การเรียนรู้ต้องอาศัยการเรียนรู้การเคลื่อนไหวทางกายจะช่วยให้ประสาทการรับรู้ "active" และรับรู้ได้ดีดังนั้นในการสอนจึงจาเป็นต้องมีกิจกรรมให้ผู้เรียนต้องเคลื่อนไหวที่หลากหลาย และเหมาะสมกับวัยและความสนใจของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้

5.   A มาจากคำว่า Application👀
    หลักการประยุกต์ใช้ความรู้ หมายถึง การนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ กล่าวคือ การนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงหรือการปฏิบัติจริง จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน ทำให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ และเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้น กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีแต่เพียงการสอนเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนเข้าใจ โดยขาดกิจกรรมการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ จะทำให้ผู้เรียนขาดการเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร การจัด กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้ เท่ากับเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ ด้านแล้วแต่ลักษณะของสาระและกิจกรรมที่จัดนอกจากนี้ การนำความรู้ไปใช้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต เป็นเป้าหมายสำคัญของการจัดการศึกษาและการเรียนการสอน

👍วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
          รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริงโดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม การปฏิสัมพันธ์สังคม และกระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น


👍กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
          ซิปปา (CIPPA) เป็นการหลักซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย ซึ่งอาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้และได้มีการนำไปทดลองใช้แล้วได้ผลดี ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนดังนี้

          ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม
                   ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย

          ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่
                   ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้

          ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม
                   ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม

          ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
                   ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน

          ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้
                   ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย

          ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน
                    หากข้อความรู้ที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนั้นจะเป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย

          ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
                   ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้นๆ

          ขั้นตอนตั้งแต่ขั้นที่ 1-6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (construc-tion of knowledge) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (interaction) และฝึกฝนทักษะกระบวนการต่างๆ (process learning) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมหลากหลายที่มีลักษณะให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อย่างเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPPส่วนขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ (application) จึงทำให้เป็นรูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบตามหลักCIPPA

 👍ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
    ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน สามารถอธิบาย ชี้แจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสาร รวมทั้งเกิดความใฝ่รู้ด้วย
CIPPA Model นอกจากจะเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นตัวชี้วัด หรือเป็นเครื่องตรวจสอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ว่า กิจกรรมนั้นเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือไม่ โดยนำเอากิจกรรมในแผนการสอนมาตรวจสอบตามหลัก CIPPAการจัดการเรียนการสอนแบบCIPPA 
การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้นก็คือ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา สังคมและอารมณ์

    การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมนั้น มิใช่หมายความแต่เพียงว่าให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมอะไรๆ ก็ได้ที่ผู้เรียนชอบ กิจกรรมที่ครูจัดให้ผู้เรียนจะต้องเป็นกิจกรรมที่นำไปสู่การเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ และเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ จึงจะสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี ดังนั้นครูที่จะสอนผู้เรียนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จึงจำเป็นที่จะต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีลักษณะดังนี้

1. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านกาย (Physical Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อช่วยให้ประสาทการรับรู้ของผู้เรียนตื่นตัวพร้อมที่จะรับข้อมูลและการเรียนรู้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น การรับรู้เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ หากผู้เรียนไม่มีความพร้อมในการรับรู้ แม้จะมีการให้ความรู้ที่ดีๆ ผู้เรียนก็ไม่สามารถรับได้ ซึ่งจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่พบได้เสมอๆ คือ หากผู้เรียนต้องนั่งนานๆ ไม่ช้า ผู้เรียนอาจหลับไป หรือคิดไปเรื่องอื่นๆ ได้ การเคลื่อนไหวทางกาย มีส่วนช่วยให้ประสาทรับรู้ตื่นตัว พร้อมที่จะรับและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี ดังนั้นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียน จึงควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสมกับวัยและระดับความสนใจของผู้เรียน

2. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา (Intellectual Participation) คือเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาหรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นกิจกรรมที่ท้าทายความคิดของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความจดจ่อในการคิด สนุกที่จะคิด ดังนั้น กิจกรรมจะมีลักษณะดังกล่าวได้ ก็จะต้องมีเรื่องให้ผู้เรียนคิด โดยเรื่องนั้นจะต้องไม่ง่ายและไม่ยากเกินไปสำหรับผู้เรียน เพราะถ้าง่ายเกินไป ผู้เรียนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด แต่ถ้ายากเกินไป ผู้เรียนก็จะเกิดความท้อถอยที่จะคิด ดังนั้นครูจึงต้องหาประเด็นที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดหรือลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

3. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม (Social Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่อาศัยรวมกันอยู่เป็นหมู่คณะ มนุษย์โดยทั่วไปจะต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับบริบทต่างๆ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งจะส่งผลถึงการเรียนรู้ทางด้านอื่นๆ ด้วย ดังนั้น กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี จึงควรเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย

4. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางอารมณ์ (Emotional Participation) คือ กิจกรรมที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้นั้นเกิดความหมายต่อตนเอง กิจกรรมที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้เรียนนั้น มักจะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ประสบการณ์ และความเป็นจริงของผู้เรียน จะต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้เรียนโดยตรงหรือใกล้ตัวผู้เรียน



วิดิโอที่เกี่ยวข้อง



👨2.รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาโดยนิสิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา👩

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

      เลือกสรรมา5รูปแบบครอบคลุมทั้งระดับการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา รวมทั้งอาชีวะศึกษา ดังนี้
  • 2.1 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการกิจกรรมทางกายในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กก่อนประถมศึกษาพัฒนาโดยเตือนใจ ทองสำริด
  • 2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบทเพื่อส่งเสริมความใฝ่รู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา  พัฒนาโดย วิโรจน์. วัฒนานิมิตกูล
  • 2.3 รูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาตตามแนวคิดและทฤษฎีคอนสตัรคติวิสต์ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาพัฒนาโดย ไพจิตร สะดวกการ
  • 2.4 รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการสำหรับนักศึกษาไทยระดับอุดมศึกษา พัฒนาโดยพิมพันธ์ เวสสะโกศล
  • 2.5 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นปฏิบัติสำหรับครูวิชาอาชีพพัฒนาโดย นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์


2.1 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการกิจกรรมทางกายในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กก่อนประถมศึกษาพัฒนาโดย เตือนใจ ทองสำริด

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


  👽ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
    เตือนใจ ทองสำริด. อาจารย์ประจำสถาบันราชภัฎสวนสุนันธาได้วิจัยเรื่องนี้เป็นวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตโดยใช้แนวคิดของเดอว์ริสซึ่งเป็นแนวคิดที่มีต้นกำเนิดมาจากแนวคิดของวีก็อทสกี้วิธีการกิจกรรมทางกายเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้เรียนกิจกรรมทางกายซึ่งอาจเป็นการเคลื่อนไหวโดยการใช้กล้ามเนื้อใหญ่หรือกล้ามเนื้อเล็กในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งและใช้ประสาทสัมผัสสังเกตหรือปฏิกิริยาของสิ่งที่ถูกกระทำนั้น ซึ่งเป็นผลจากการสังเกตทำให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการทางสติปัญญาโดยผู้เรียนสร้าง(construct)ความคิดหรือความรู้ด้วยตนเองซึ่งความคิดหรือความรู้ในระดับอนุบาลจะเกิดขึ้นโดยการรับรู้(perceive)หรือรู้สึก(feel)เท่านั้นหมายถึงการอธิบายเหตุผล

👽วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
   รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการจัดกิจกรรมทางกายในการสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กก่อนประถมศึกษา มีวัตถุประสงค์สำคัญที่จะสร้างมโนทัศน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาควบคู่กับการส่งเสริมพัฒนาการทางกายอารมณ์และสังคมของเด็กก่อนประถมศึกษา

👽กระบวนการการเรียนการสอนของรูปแบบ
1.ขั้นการสร้างสถานการณ์ปัญหาและแนะนำอุปกรณ์
1.1คู่สนทนาและจัดกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้นักเรียนเกิดปัญหาหรือข้อสงสัย
1.2ครูถามให้นักเรียนทำนายคำตอบปัญหาหรือสงสัยนั้นทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกคิดและเป็นการกระตุ้นให้เนี่ยสนใจกระตือรือร้นที่จะค้นหาคำตอบ
1.3 แนะนำอุปกรณ์และวิธีการหาคำตอบ

2.ขั้นสำรวจตรวจค้นและชักจูง
2.1นักเรียนกระทำหรือเล่นสิ่งของเพื่อค้นหาคำตอบของปัญหาหรือสงสัยด้วยตนเอง
2.2ครูเข้าไปซักถามหรือชักนำเกี่ยวกับเหตุและผลของการกระทำในการเล่นของข้อ 2.1

3.คำขยายประสบการณ์
3.1ครูให้เด็กกระทำเล่นสิ่งของที่แตกต่างจากเดิมเพื่อได้ประสบการณ์ที่หลากหลายโดยทำให้เกิดมโนทัศน์หรือความรู้อย่างเดียวกันกับการกระทำหรือการเล่นในขั้นตรวจสอบหรือชักจูง
3.2ครูเข้าไปซักถามหรือชักนำเกี่ยวกับเหตุและผลของการกระทำหรือการเล่น

4.ขั้นสรุปและประเมินผล
 ครูซักถามเพราะการกระทำหรือการเล่นสิ่งของเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับคำตอบของปัญหาหรือข้อสงสัยร่วมกันโดยเน้น ให้ผู้เรียนเกิดตอบคำถามไม่ใช่ครูเป็นผู้บรรยายสรุปเอง ทั้งนี้จะทำให้ครูสามารถประเมินผลการสอนไปพร้อมๆกันด้วย

👽ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
  รูปแบบนี้ไปใช้ทดลองกับนักเรียนชั้นอนุบาล2จำนวน2กลุ่ม.พบว่าคะแนนมโนทัศน์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนทั้งสองกลุ่มมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีในยะสำคัญทางสถิติระดับ.01 และหลังการทดลอง2สัปดาห์ พบว่าความคงทนของมโนทัศน์ดังกล่าวมีค่าสูงเกินกว่าร้อยละ 95ของค่าเฉลี่ยของคะแนนมโนทัศน์ ที่วัดทันทีหลังการทดลอง นอกจากนั้นยังพบว่า นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนและสนในสื่อมาก



2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบทเพื่อส่งเสริมความใฝ่รู้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา  พัฒนาโดย วิโรจน์. วัฒนานิมิตกูล
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


    👉  พัฒนาพร้อมทั้งประเมินรูปแบบการสอน โดยใช้สาระอิงบริบทเพื่อส่งเสริมความใฝ่รู้ ของนักเรียนระดับประถมศึกษา และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดเทพประสิทธิ์คณาวาส จำนวน 30 คน ที่มีระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนสูง ปานกลางและต่ำ ระดับละ 10 คน กลุ่มตัวอย่างในแต่ละระดับได้รับการสุ่ม ระดับละ 5 คน เข้าในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มทดลองเรียนด้วยรูปแบบการสอนโดยใช้สาระอิงบริบท เพื่อส่งเสริมความใฝ่รู้ที่พัฒนาขึ้น

 👉 ส่วนกลุ่มควบคุมเรียนด้วยรูปแบบการสอนแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า
 1. รูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น สามารถส่งเสริมความใฝ่รู้แก่นักเรียน ด้วยการนำเสนอสาระอิงบริบท ซึ่งเป็นจุดรวมของเนื้อหาสำคัญของบทเรียนที่มีความครอบคลุม ซับซ้อนและน่าสนใจเพียงพอที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียน กำหนดประเด็นค้นคว้าและดำเนินการค้นคว้าด้วยวิธีการต่างๆ แล้วสรุปเชื่อมโยงความรู้ที่ได้รับกับสาระอิงบริบทเดิม และสามารถนำความรู้ที่ได้ทั้งหมด ไปใช้ในการกำหนดประเด็นค้นคว้าใหม่ต่อไป

2. นักเรียนกลุ่มทดลองมีทักษะการแสวงหาความรู้ สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม นักเรียนกลุ่มทดลองมีทักษะการแสวงหาความรู้หลังการทดลอง สูงกว่าก่อนการทดลอง และมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการสอนตามรูปแบบการสอน กับระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนต่อทักษะการแสวงหาความรู้ ซึ่งเมื่อทดสอบในแต่ละระดับพบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมีทักษะการแสวงหาความรู้ สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมในแต่ละระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียน ทุกระดับ

3.นักเรียนกลุ่มทดลองมีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้ สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม และนักเรียนกลุ่มทดลองมีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้หลังการทดลอง สูงกว่าก่อนการทดลอง แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการสอนตามรูปแบบการสอน กับระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนต่อเจตคติต่อการแสวงหาความรู้ ซึ่งเมื่อทดสอบรายคู่พบว่า นักเรียนที่มีระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนสูง มีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้สูงกว่า นักเรียนที่มีระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนปานกลางและต่ำ และนักเรียนที่มีระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนปานกลาง มีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้สูงกว่า นักเรียนที่มีระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียนต่ำ เมื่อทดสอบในแต่ละระดับพบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมีเจตคติต่อการแสวงหาความรู้ สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมในแต่ละระดับแต้มเฉลี่ยทางการเรียน ทุกระดับ

4.นักเรียนกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตหลังการทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม



2.3 รูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาตตามแนวคิดและทฤษฎีคอนสตัรคติวิสต์ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาพัฒนาโดย ไพจิตร สะดวกการ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การสอนคณิต มัธยม การ์ตูน


  ×หลักการและเป้าหมาย ×
จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสม์ มุ่งพัฒนานักเรียนได้มีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยครูผู้สอนเป็นผู้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้นักเรียนได้เผชิญกับสถานการณ์ปัญหาที่สัมพันธ์กับเนื้อหาของบทเรียนและสอดคล้องกับชีวิตประจำวัน นักเรียนได้แก้ปัญหาเป็นรายบุคคลด้วยวิธีที่หลากหลาย เนื่องจากข้อมูลความรู้ที่มีอยู่เดิมไม่เพียงพอหรือไม่สอดคล้องกับปัญหาที่ได้รับ ทำให้เกิดการพิจารณาไตร่ตรองหาข้อมูลมาเพิ่มเติม โดยการอธิบาย ถกเถียงแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน

  การจัดสถานการณ์ให้เกิดการสร้างความรู้นี้ ทำให้นักเรียนได้นำความรู้เดิมมาเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ มีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเองจึงเป็นความรู้ที่มีความหมายสำหรับนักเรียน ครูผู้สอนเป็นเพียงผู้กระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการคิดค้นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือชี้แนะ

  ÷องค์ประกอบ÷
 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสม์ที่สังเคราะห์ขึ้น มีดังนี้ 

1 .ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 
ซึ่งเป็นขั้นตอนการเตรียมความพร้อมของนักเรียน โดยการทบทวนความรู้เดิมและพยายามกระตุ้นให้นักเรียนระลึกถึงประสบการณ์เดิมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้อหาใหม่ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสร้างสถานการณ์ ยกตัวอย่าง ใช้เกม ใช้คำถาม ฯลฯ เพื่อเป็นแรงจูงใจในการเรียนเนื้อหาใหม่และเพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญา ครูผู้สอนจะต้องค้นหาและระลึกถึงความรู้และประสบการณ์เดิมของนักเรียน เพราะถ้านักเรียนสามารถระลึกถึงประสบการณ์เดิมได้มากนักเรียนจะมีข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่หลากหลายได้มาก ดังนั้นนักเรียนจะต้องแสดงออกมาให้ครูผู้สอนเห็นว่าแต่ละคนมีความรู้พื้นฐานเดิมในเรื่องที่เรียนมากน้อยเพียงใดเพื่อเป็นการทดสอบความคิดรวบยอดความรู้เดิมที่สัมพันธ์กับเนื้อหาใหม่ หลังจากนั้นครูผู้สอนแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ


2 .ขั้นสอน
2.1 ขั้นเผชิญสถานการณ์ปัญหา ซึ่งเป็นแก้ปัญหาเป็นรายบุคคล ครูผู้สอนเสนอสถานการณ์ที่เป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับบทเรียนและสอดคล้องกับชีวิตประจำวัน เหมาะสมกับวัยและความสามารถของนักเรียนเป็นแรงจูงใจให้นักเรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งนักเรียนทำความเข้าใจสถานการณ์ปัญหาและหาแนวทางในการแก้ปัญหา โดยใช้สื่อที่เป็นรูปธรรมที่ครูผู้สอนเตรียมให้ ครูผู้สอนกระตุ้นให้นักเรียนพยายามสำรวจหาวิธีการแก้ปัญหาที่หลากหลายเป็นรายบุคคล โดยใช้คำถามในลักษณะสร้างสรรค์ ซึ่งทำให้นักเรียนนำความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องที่เคยเรียนมาใช้ในการแก้ปัญหา

2.2 ขั้นกิจกรรมไตร่ตรองระดับกลุ่มย่อย เป็นขั้นตอนที่สมาชิกในกลุ่มย่อย เสนอแนวทางแก้ปัญหาของตนเองที่อาจเป็นไปได้ต่อกลุ่มย่อย ครูผู้สอนจะต้องพยายามกระตุ้นให้นักเรียนสะท้อนความคิดออกมา เพราะการสะท้อนความคิดเป็นการแสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจของนักเรียนว่ามีมากน้อยเพียงใด ที่ช่วยให้สมาชิกเห็นแนวทางแก้ปัญหาของคนอื่นมากยิ่งขึ้น โดยใช้สื่อรูปธรรม ทดลองและปฏิบัติให้เห็นจริงมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน จากนั้นให้เพื่อนๆช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องความสมเหตุสมผลจากการได้ปฏิบัติจริง มีการนำวิธีการของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มมาลองใช้กับสถานการณ์ตัวอย่าง ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีวิธีการที่แตกต่างกัน ดังนั้นในแต่ละกลุ่มอาจมีวิธีการในการแก้ปัญหามากกว่า 1 วิธี เพื่อเสนอต่อทั้งชั้น

2.3 เสนอแนวทางแก้ปัญหาต่อทั้งชั้นเป็นขั้นตอนที่กลุ่มย่อยเสนอแนวทางการแก้ปัญหาและแสดงให้เห็นจริงถึงความสมเหตุสมผล ในขั้นนี้กลุ่มย่อยจะมีส่วนช่วยทำให้ทุกคนมีความพร้อมที่จะนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่อทั้งชั้น พร้อมทั้งตอบข้อซักถามและชี้แจงเหตุผล นักเรียนทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการอภิปรายและตรวจสอบถึงความถูกต้องและเหมาะสมในแนวทางการแก้ปัญหาประเมินทางเลือกถึงข้อดีข้อจำกัดของแต่ละทางเลือกและสรุปแนวทางเลือกทั้งหมด เพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์อื่นๆ ซึ่งครูผู้สอนต้องพร้อมที่จะรับฟังความหลากหลายและการให้เหตุผลที่แปลก ซึ่งอาจจะช่วยให้นักเรียนคนอื่นๆเกิดความเข้าใจมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ ครูผู้สอนไม่ควรปฏิเสธคำตอบหรือคำอธิบายของนักเรียนควรให้โอกาสนักเรียนที่ตอบคลาดเคลื่อนไปจากความคาดหวังของครูผู้สอน อาจเป็นอีกทางหนึ่งที่นักเรียนได้สร้างขึ้นและช่วยให้ครูผู้สอนได้มีโอกาสตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนและถ้าครูผู้สอนมีวิธีการอื่นๆนอกเหนือจากที่นักเรียนนำเสนอไปแล้วแต่นักเรียนไม่ได้นำเสนอครูผู้สอนสามารถเพิ่มเติมได้อีก


3 .ขั้นสรุปนักเรียนร่วมกันสรุปหลักการและกระบวนการแก้ปัญหา 
ในเรื่อง ที่เรียนและครูผู้สอนช่วยเสริมแนวคิดหลักการความคิดรวบยอดและกระบวนการแก้ปัญหาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


4 .ขั้นฝึกทักษะและนำไปใช้
เป็นขั้นที่ให้นักเรียนฝึกทักษะจากใบงานที่ครูผู้สอนสร้างขึ้นที่มีสถานการณ์ที่หลากหลายหรือที่นักเรียนสร้างสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์เดิม นักเรียนเลือกทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาและสามารถอธิบายวิธีแก้ปัญหาของตนเองได้ โดยให้เพื่อนในกลุ่มช่วยกันตรวจสอบคำตอบที่ถูกต้องจากบัตรเฉลย นักเรียนแต่ละคนอาจจะเลือกใช้วิธีการในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ซึ่งการฝึกทักษะจะช่วยให้นักเรียนมีความคงทนในการจำและเกิดความคล่องแคล่วแม่นยำรวดเร็วและพัฒนาความคิดอย่างมีเหตุผล ครูผู้สอนจะต้องดูแลและให้ความช่วยเหลือในกรณีที่นักเรียนเกิดความขัดแย้งหาข้อสรุปไม่ได้ จากนั้นให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดจากบทเรียน


5. ขั้นประเมินผล
ขั้นนี้จะประเมินผลจากการทำใบงาน จากการทำแบบฝึกหัดในบทเรียนและจากสถานการณ์ที่นักเรียนสร้างขึ้น นอกจากนั้นครูผู้สอนอาจใช้การสังเกตในการร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน เพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความรู้ของนักเรียนในเรื่องที่เรียนว่านักเรียนมีความรู้ความสามารถตามเกณฑ์ที่ได้ตั้งไว้หรือไม่มากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นข้อมูลในการสอนซ่อมเสริมให้กับนักเรียนที่ยังไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ก่อนที่จะทำการสอนเนื้อหาอื่นๆต่อไป

+กรอบแนวคิดในการวิจัยและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสม์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น  ได้ขั้นตอนตามภาพประกอบ+




2.4 รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการสำหรับนักศึกษาไทยระดับอุดมศึกษา พัฒนาโดยพิมพันธ์ เวสสะโกศล

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


  👻 แนวคิดของรูปแบบ
    รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการนี้เป็นผลงานเฮียนิพนธ์ระดับ. สดีบัณฑิตของพิมพันธ์ เวสสะโกศล(2533)อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งพัฒนารูปแบบนี้จากแนวคิดพื้นฐานที่ว่าการเขียนเป็นกระบวนการทางสติปัญญาและภาษา(intellectual-linguistic)การเรียนการสอนจึงมุ่งเน้นที่กระบวนการทั้งหลายที่ใช้ในโครงสร้างการเขียนการสอนควรเป็นการแนะนำวิธีการสร้างและการเรียบเรียงความคิดมากกว่าจะเป็นการสอนรูปแบบและโครงสร้างของภาษา กระบวนการที่ผู้เรียนควรพัฒนานั้นเริ่มตั้งแต่ก่อนการเขียนซึ่งประกอบด้วยทักษะการสร้างความคิดการค้นหาข้อมูลและการวางแผนการเรียบเรียงข้อมูลที่จะนำเสนอ
    ส่วนในขณะที่เขียนได้แก่การร่างานเขียนซึ่งต้องอาศัยกระบวนการคิดให้เป็นความที่ต่อเนื่องสำหรับการแก้ไขปรับปรุงร่างที่1ให้เป็นงานเขียนระดับสมบูรณ์นั้น ผู้เขียนจำเป็นต้องมีการแก้ไขเนื้อหาให้สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนและมีการแก้ไขภาษาทั้งด้านความถูกต้องของไวยากรณ์และการเลือกใช้คำ

   👻วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
  รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถเขียนภาษาอังกฤษได้รับข้อความได้โดยข้อความนั้นสามารถสื่อความหมายได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ และเป็นข้อความที่ถูกต้องทั้งหลักการใช้ภาษาและหลักการเขียนนอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาความสามารถในการใช้กระบวนการคิดในการสร้างงานเขียนได้ดีด้วย
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ

   ขั้นที่1 ขั้นก่อนการเขียน
1.1. การแจกแจงความคิดผู้สอนแนะนำให้ผู้เรียนคิดเชื่อมโยงหัวข้อที่เกี่ยวข้องจะเขียนกับแนวความคิดต่างๆเพื่อให้ได้ข้อมูลในการเขียน
1.2การค้นคว้าข้อมูลจากการอ่านโดยให้ผู้อ่านเขียนที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะเขียนและศึกษาแนวคิดของผู้เขียนตลอดจนการใช้ศัพท์สำนวนที่ใช้
2.การเรียบเรียงข้อมูล
2.1. ผู้เรียนศึกษาหลักการเรียบเรียงจากข้อเขียนตัวอย่าง
2.2. จากข้อมูลที่ได้เสนอในข้อ 1 ผู้เรียนคัดเลือก. เน้นและข้อมูลที่ต้องการนำเสนอ
3.การเรียนรู้ภาษาเป็นการสร้างความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างภาษาและศัพท์ที่จะนำมาใช้ในการเขียน

   ขั้นที่2 ขั้นร่างงานเขียน
ผู้เรียนเขียนข้อความโดยใช้แผ่นการเขียนที่ได้จัดทำในขั้นที่1เป็นเครื่องชี้แนะ

   ขั้นที่3 ขั้นปรับปรุงแก้ไข
1.การปรับปรุงเนื้อหาผู้เรียนอ่านร่างงานเขียนที่หน้าจากข้อที่สองและอภิปรายเกี่ยวกับเนื้อหาและการเรียบเรียงผู้สอนกำกับควบคุมโดยใช้คำถาม. เพื่อให้กลุ่มอภิปรายไปในทิศทางที่ต้องการคือเน้นที่จะสื่อความหมายของเนื้อหาและวิธีการนำเสนอ
2.การแก้ไขงานเขียนผู้เรียนทำแบบฝึกหัดข้อผิดทางภาษาแล้วจึงปรับปรุงร่างงานเขียนในด้านเนื้อหาตามที่ได้อธิบายในข้อหนึ่งและแก้ไขข้อผิดพลาดทางภาษาโดยมีผู้สอนช่วยเหลือแนะนำ


  👻ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนการสอนตามรูปแบบ.  
  ผลจากการวิจัยพบว่ากลุ่มทดลองที่ใช้รูปแบบนี้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนภาษาอังกฤษสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่เรียนด้วยอาจารย์ใช้วิธีสอนแบบนี้ตรวจงานเขียนอย่างนี้นัยยะสำคัญที่ระดับ.05และผู้วิจัยได้นำเสนอแนวคิดให้รูปแบบนี้ไปประยุกต์ใช้ในการเขียนในระดับอื่นๆด้วย



2.5 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นปฏิบัติสำหรับครูวิชาอาชีพพัฒนาโดย นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

   😈แนวคิดของรูปแบบ
นวลจิตต์ เชาวกีรพงศ์(2535) อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล เป็นผู้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกสาขาวิชาหลักสูตรและการสอนคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาได้รับพิจารณาให้ได้รับรางวัลชมเชยด้านการวิจัยทางการศึกษา ในพ.ศ.2536 นวจจิตต์ ได้พัฒนารูปแบบนี้ เพื่อการเรียนการสอนวิชาชีพสายอื่นๆ.ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นทักษะปฏิบัติโดยอาศัยแนวคิดตามหลักการการเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติ9 ประการ สรุปได้ว่าการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะที่ดีนั้นผู้สอนควรเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์งานที่ให้ผู้เรียนท โดยแบ่งงานออกเป็นส่วนเยอะย่อยและลำดับจากง่ายไปสู่ยากแล้วให้ผู้เรียนได้ฝึกทำงานเยอะย่อยๆแต่คนลงมือทำงานควรให้ผู้เรียนมีความรู้ในงานถึงขั้นเข้าใจในงานนั้นเป็นอย่างน้อย แล้วจึงให้ผู้เรียนฝึกทำงานด้วยตนเองในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับการทำงานจริง ขณะผู้เรียนฝึกอยู่นั้นควรได้รับข้อมูลย้อนกลับเพื่อปรับปรุงงานเป็นระยะระยะและผู้เรียนควรได้รับการประเมินทั้งด้านความถูกต้องของผลงาน ความชำนาญในงานทักษะ. และลักษณะนิสัยในการทำงานด้วย

 😈วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
    รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่ทำ และเกิดทักษะสามารถที่จะทำงานนั้นได้อย่างชำนาญตามเกณฑ์ รวมทั้งมีเจตคติที่ดีลักษณะนิสัยดีในการทำงานด้วย

   😈กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
   มี3ยุทธ์วิธี ดังนี้
  ยุทธ์วิธีที่1 การสอนทฤษฏีก่อนการสอนปฏิบัติ
1.1ขั้นนำเป็นขั้นแนะนำงานและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเห็นคุณค่าในงาน
1.2คันให้ความรู้เป็นขั้นให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานซึ่งทำให้ครูสามารถใช้วิธีการอะไรก็ได้แต่ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามจนกระทั่งผู้เรียนเกิดความเข้าใจ
1.3ขั้นฝึกปฏิบัติเป็นขั้นที่ผู้เรียนลงมือทำงานซึ่งเริ่มจากการให้ผู้เรียนทำตามเลียนแบบต่อไปถึงจำลองให้ทำเองโดยครูคอยสังเกตและให้ข้อมูลป้อนกลับเป็นระยะจนกระทั่งทำได้ถูกต้องแล้วจีงฝึกให้ทำหลายๆครั้งจนชำนาญ
1.4 ขั้นประเมินผลการเรียนรู้เป็นขั้นที่ผู้สอนประเมินทักษะปฏิบัติและลักษณะนิสัยในการทำงานของผู้เรียน
1.5ขั้นประเมินผลความคงทนของการเรียนรู้เป็นขั้นที่ผู้สอนจะรู้ว่าการเรียนของผู้เรียนมีความยั่งยืนหรือไม่หากผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างชำนาญผู้เรียนก็ควรที่จะจำสิ่งเรียนรู้ได้ก็ดี

  ยุทธ์วิธีที่2 หารสอนงานปฏิบัติก่อนสอนทฤษฎี
2.1 ขั้นนำ ปฏิบัติเช่นเดียวกับยุทธ์วิธี1
2.2ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติและสังเกตการณ์ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานมีการสังเกตุการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติดีการสังเกตและจากข้อมูลบันทึกไว้
2.3 ขั้นวิเคราะห์การปฏิบัติและสังเกตการณ์ ร่วมกันวิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติและอภิปรายผลการวิเคราะห์
2.4ขั้นส่งเสริมความ รู้จากผลการวิเคราะห์และอธิบายการปฎิบัติผู้สอนจะทราบว่าควรส่งเสริมความรู้อะไรให้แก่ผู้เรียน
2.5. ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติงานใหม่ เมื่อรู้จุดบกพร่องและได้ความรู้เสริมที่จะช้ายในการแก้ไขข้อบกพร่องแล้วจึงให้ผู้เรียนปฏิบัติงานใหม่อีกครั้ง
2.6. ขั้นประเมินผลการเรียนรู้ ปฏิบัติเช่นเดียวกับยุทธ์วิธี1
2.7ขั้นประเมินผลความคงทนการเรียนรู้ ปฏิบัติเช่นเดียวกับยุทธ์วิธี1

  ยุทธ์วิธีที่3 การสอนทฤษฎีและปฏิบัติไปพร้อมๆกัน
3.1ขั้นนำ
3.2คันให้ความรู้ให้ปฏิบัติและให้ข้อมูลย้อนกลับไปพร้อมๆกัน
3.3ขั้นให้ปฏิบัติงานตามลำพัง
3.4ขั้นประเมินผลการเรียนรู้
3.5ขั้นประเมินผลความคงทนของการเรียนรู้งานปฏิบัติ

ยุทธ์วิธี1 เหมาะสำหรับการสอนเนื้อหาของงานปฏิบัติที่มีลักษณะซับซ้อนหรือเสียงอันตรายและลักษณะเนื้อหาสามารถแยกส่วนทฤษฎีและปฏิบัติได้อย่างชัดเจน
ยุทธ์วิธี2 เหมาะสำหรับเนื้อหาปฏิบัติที่มีลักษณะไม่ซับซ้อนหรือเป็นงานปฏิบัติที่ผู้เรียนเคยมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว เป็นงานที่เสี่ยงต่ออันตรายกับชีวิตน้อย
ยุทธ์วิธี3 เหมาะสำหรับบทเรียนที่มีลักษณะของเนื้อหาภาคทฤษฎี และปฏิบัติที่ไม่สามารถแยกจากกันได้เด็ดขาด

  😈ผลที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
 นวจจิตต์ เชาวกีรพงศ์ ได้ทดลองใช้รูปแบบนี้กับอาจารย์และนักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล5 วิทยาเขต เป็นเวลา1ภาคเรียน ในปี2534 ผลการทดลองพบว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านทฤษฎีถึงขั้นความเข้าใจคือได้คะแนนไม่ต่ำกว่า60% และผลสำเร็จในด้านการพัฒนาทักษะระดับที่สามารถปฏิบัติงานให้มีคุณภาพได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องการร่วมพลังได้แสดงปฏิกรรมของการมีลักษณะที่ดีในการทำงานด้วย



👆3.กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน👆
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เด็กนักเรียนไทยไหว้

    👆ในช่วง 3ทศวรรษ ที่ผ่านมานักการศึกษาไทยได้พยายามที่จะเสนอแนวคิดเพื่อการพัฒนาการศึกษาและการเรียนการสอนของให้ตลอดมา แต่เริ่มได้รับการตอบรับจากสังคมเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปการศึกษากันอย่างกว้างขวางในช่วง4-5ปีหลังจากนี้วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปีพ.ศ.2540ได้ทำให้ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมากจึงปรากฏว่านอกจากนักศึกษาแล้วยังมีนักคิดจากองค์การอื่นที่หันมาให้ความสนใจการศึกษาและเสนอแนวคิดต่างๆอย่างรักหลาย ในที่นี้ผู้เขียนได้ประมวลแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนมานำเสนอจำนวน7 กระบวนการ  กระบวนการเหล่านี้แม้ยังไม่ได้รับการนำไปทดลองใช้และทดสอบพิสูจน์อย่างเป็นระบบแต่ก็เป็นกระบวนการที่ได้รับความสนใจจากวงการศึกษาไทยเป็นอย่างมาก กระบวนการดังกล่าว ได้แก่ 

  • 3.1 กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ4 โดยสาโรช บัวศรี
  • 3.2 กระบวนการกัลยาณมิตรโดยสมุน อมรวิวัฒน์
  • 3.3 กระบวนการทางปัญญาโดยประเวศ วสี
  • 3.4 กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
  • 3.5 กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
  • 3.6 มิติและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทิศนา แขมมณีและคณะ
  • 3.7 กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์
  • 3.8 กระบวนการต่างๆโดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษา
  • 3.8.1 ทักษะกระบวนการ9 ขั้น
  • 3.8.2 กระบวนการการสร้างความคิดรวบยอด 
  • 3.8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
  • 3.8.4 กระบวนการการแก้ปัญหา 
  • 3.8.5 กระบวนการการสร้างความตระหนัก
  • 3.8.6 กระบวนการปฏิบัติ
  • 3.8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์ 
  • 3.8.8 กระบวนการการเรียนภาษา
  • 3.8.9 กระบวนการกลุ่ม
  • 3.8.10 กระบวนการการสร้างเจตคติ
  • 3.8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
  • 3.8.12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ



3.1 กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ4 โดยสาโรช บัวศรี
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อริยสัจ สี่
    🙊🙉 ศาสตราจารย์  ดร.สาโรช  บัวศรี  เป็นผู้ริเริ่มความคิด ในการนำหลักพุทธรรมมาใช้ในกระบวนการแก้ปัญหา  โดยประยุกต์หลักอริยสัจ  4  อันได้แก่  ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค  มาใช้ควบคู่กับ “  กิจในอริยสัจ  4”  อันประกอบด้วย  ปริญญา (  การกำหนดรู้ )  ปหานะ  (การละ ) สัจฉิกิริยา ( การทำให้แจ้ง )  และภาวนา ( การเจริญ หรือลงมือปฏิบัติ )  จากหลักการทั้งสอง  ศาสตราจารย์ ดร. สาโรช  บัวศรี ได้เสนอแนะกระบวนการแก้ปัญหาในการเรียนการสอน ดังนี้

               1.ขั้นกำหนดปัญหา  ( ขั้นทุกข์ ) คือการระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข

               2.ขั้นตั้งสมมติฐาน  (ขั้นสมุทัย ) คือ  การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและตั้งสมมุติฐาน

               3.ขั้นทดลอง และ เก็บข้อมูล ( ขั้นนิโรธ ) คือ  การกำหนดวัตุประสงค์และวิธีการทดลอง
                  เพื่อพิสูจน์สมมุติฐานและเก็บรวบรวมข้อมูล             
                                            
               4.ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล  ( ขั้นมรรค ) คือ  การนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุป


3.2 กระบวนการกัลยาณมิตรโดยสมุน อมรวิวัฒน์

        สุมน อมรวิวัฒน์ ได้อธิบายกระบวนการกัลยาณมิตรไปว่าเป็นกระบวนการการประสานสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อจุดหมายทั้ง2ประการคือ 1.ชี้ทางบรรเทาทุกข์ 2.ชี้สุขเกษมศานติ์  กระบวนการกัลยาณมิตรใช้หลักการที่พิสูจน์ว่าเป็นหลักที่ช่วยคนผลทุกข์ได้คือหลักอริยสัจ4 มาใช้ควบคู่กับหลักัลยาณมิตรธรรม7  

   👅ในการจัดการเรียนการสอนซึ่งมีกระบวนการหรือขั้นตอน8 ขั้นดังนี้👅

  • 1.หาสร้างความไว้ใจตามหลักกัลยาณมิตรธรรม7 ได้แก่การที่ผู้สอนวางตนให้เป็นที่น่าเคารพรักมีความรู้และฝึกหัดอบรมปรับปรุงตนอยู่เสมอ. สื่อสารชี้แจงให้สิทธิ์เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง. มีความอดทนพร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษามีความตั้งใจสอนเรื่องความเมตตาช่วยให้ผลจากการทางเสื่อม
  • 2.การกำหนดและจับประเด็นปัญหา(ขั้นทุกข์)
  • 3.การร่วมกันคิดวิเคราะห์เหตุของปัญหา (ขั้นสมุทัย)
  • 4.การจัดลำดับความเข้มของระดับปัญหา(ขั้นสมุทัย)
  • 5.การกำหนดจุดหมายรู้สภาวะพ้นปัญหา(ขั้นนิโรธ)
  • 6.การร่วมกันคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา(ขั้นนิโรธ)
  • 7.การจัดลำดับ. หมายของภาระพ้นปัญหา(ขั้นนิโรธ)
  • 8.การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางที่ถูกต้อง(ขั้นมรรค)

3.3 กระบวนการทางปัญญาโดยประเวศ วสี
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเวศ วะสี

          ประเวศ วะสี ท่านได้เสนอกระบวนการทางปัญญาซึ่งฝึกฝนให้แก่ผู้เรียน
        👴ประกอบด้วยขั้นตอน10ขั้น ดังนี้👴
  • 1.ฝึกสังเกต ให้ผู้เรียนมีโอกาสสังเกตสิ่งต่างๆให้มากให้รู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว
  • 2.ฝึกบันทึก ให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งต่างๆและจดบันทึกได้ละเอียดที่สังเกตเห็น
  • 3.ฝึกการนำเสนอ ต่อที่ประชุมเมื่อผู้เรียนได้ไปสังเกตุหรือทำอะไร
  • 4.ฝึกการฟัง. การฟังช่วยให้ผู้อื่นได้ความรู้มากผู้เรียนจึงควรได้รับฝึกให้เป็นผู้ฟังที่ดี
  • 5.ฝึกปุจฉาวิสัชนา ให้ผู้เรียนฝึกการถามการตอบซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเรื่องที่ศึกษา รวมทั้งได้ฝึกการใช้เหตุผลการวิเคราะห์และการสังเคราะห์
  • 6.การฝึกตั้งสมมุติฐานตั้งคำถาม ให้ผู้เรียนฝึกคิดและตั้งคำถามข้อคำถามเป็นเครื่องมือสำคัญในการได้มาซึ่งความรู้
  • 7.ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามน่าสนใจทานแล้วควรให้ผู้เรียนฝึกค้นหาคำตอบจากแหล่งต่างๆเช่นตำรา อินเตอร์เน็ต
  • 8.ฝึกการวิจัย การวิจัยเป็นกระบวนการหาคำตอบที่ช่วยให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ใหม่
  • 9.ฝึกการเชื่อมโยงบูรณาการ การดำนาการให้เห็นความเป็นทั้งหมดแล้วเห็นตัวเองเมื่อผู้เรียนได้เรียนอะไรมาแล้วควรให้ผู้เรียนเชื่อมโยงถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดและเกิดการรู้ตัวตามความเป็นจริงว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร
  • 10.ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ. หลังจากได้เรียนรู้เรื่องได้แล้วควรให้ผู้เรียนฝึกเรียบเรียงความรู้ที่ได้การเรียบเรียงจะช่วยให้มีความคิดปราณีตขึ้นทำให้ต้องค้นคว้าหาหลักฐานที่มาของความรู้อย่างถี่ถ้วนและแม่นยำ

3.4 กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ชัยอนันต์ สมุทวณิช


        ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการคิดไว้ว่าการที่ของคนเรามีหลายรูปแบบโดยท่านได้ยกตัวอย่างมา 4แบบ และได้อธิบายลักษณะของนักคิดทั้ง4แบบไว้ ซึ่งผู้เขียนจะขอนำมาประยุกต์เป็นแนวทางในการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดของผู้เรียนได้ดังนี้

  • 1.การคิดแบบนักวิเคราะห์ (analytical ) ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้พัฒนาความสามารถในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึก ให้ผู้เรียนแสวงหาข้อเท็จจริง ดูตรรกะ ดูทิศทาง หาเหตุผล และมุ่งแก้ไขปัญหา
  • 2.การคิดรวบยอด(Conceptual) ผู้สอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดว่าถ้าในสมองสร้างความคิดใหม่จากข้อมูลที่ถูกต้องแน่นอน
  • 3.การคิดแบบโครงสร้าง(stuctural thinking) การฝึกให้ผู้เรียนแยกแยะส่วนประกอบศึกษาส่วนประกอบและเชื่อมโยงข้อมูลจัดเป็นโครงสร้างทำให้ผู้เรียนมีการคิดอย่างเป็นระบบ
  • 4.การคิดแบบผู้นำสังคม(social thinking ). การฝึกให้ผู้เรียนปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับผู้อื่นทำตนเป็นผู้อำนวยความสะดวก. ฝึกทักษะกระบวนการทำงานร่วมกันเป็นทีมและฝึกให้คิด3ด้านที่เรียกว่า "PMI" คือด้านบวก(plus) ด้านลบ(minus)และด้านที่ไม่บวกไม่ลบ แต่ไม่สนใจ(interesting)

3.5 กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์

    เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนาและนักคิดคนสำคัญของประเทศและธิบายว่าหากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาต่อไปได้โดยไม่เสียเปรียบ. ไม่ถูกหรอกได้และสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้คนไทยคิดเป็น. คือรู้จักวิธีการที่ถูกต้องและทำได้เสนอแนะว่าควรมีการพัฒนาความสามารถในการคิด10มิติ ให้แก่คนไทยโดยท่านให้ความหมายของการคิดดังกล่าวว่าผู้เขียนขอประยุกต์มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสำหรับครูเพื่อชนะผู้เรียนดังนี้

  มิติที่1 การคิดเชิงวิพากย์ (Critical Thinking) หมายถึง ความตั้งใจที่จะพิจารณาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยการไม่เห็นคล้อยตามข้อเสนออย่างง่ายๆ แต่ตั้งคำถามท้าทาย หรือโต้แย้งสมมติฐาน และข้อสมมติที่อยู่เบื้องหลัง และพยายามเปิดแนวทางความคิด ออกลู่ทางต่างๆ ที่แตกต่างจากข้อเสนอนั้น เพื่อให้สามารถได้คำตอบที่สมเหตุสมผล มากกว่าข้อเสนอเดิม

  มิติที่2 การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking) หมายถึง การจำแนกแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ของสิ่งที่เกิดขึ้น

  มิติที่3 การคิดเชิงสังเคราะห์ (Synthesis-Type Thinking) หมายถึง ความสามารถในการดึงองค์ประกอบต่างๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

  มิติที่4 การคิดเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Thinking) หมายถึง การพิจารณาเทียบเคียงความเหมือน และ/หรือ ความแตกต่าง ระหว่างสิ่งนั้น กับสิ่งอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สามารถอธิบายเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการคิด การแก้ปัญหา หรือการหาทางเลือดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

  มิติที่5 การคิดเชิงมโนทัศน์ (Conceptual Thinking) หมายถึง ความสามารถในการประสานข้อมูลทั้งหมด ที่มีอยู่ เกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใด ได้อย่างไม่ขัดแย้ง แล้วนำมาสร้างเป็นความคิดรวบยอด หรือกรอบความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น

  มิติที่6 การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) หมายถึง การขยายขอบเขตความคิดออกไป จากกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่ สู่ความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อค้นหาคำตอบที่ดีที่สุด ให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น

  มิติที่7 การคิดเชิงประยุกต์ (Applicative Thinking) หมายถึง ความสามารถในการนำเอาสิ่งที่มีอยู่เดิม ไปปรับใช้ประโยชน์ในบริบทใหม่ ได้อย่างเหมาะสม โดยยังคงหลักการของสิ่งเดิมไว้

  มิติที่8 การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) หมายถึง ความสามารถในการกำหนดแนวทางที่ดีที่สุด ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าหาแกนหลักได้อย่างเหมาะสม เพื่ออธิบาย หรือให้เหตุผลสนับสนุนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

  มิติที่9 การคิดเชิงบูรณาการ (Integrative Thinking) หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมโยงแนวคิด หรือองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าหาแกนหลักได้อย่างเหมาะสม เพื่ออธิบาย หรือให้เหตุผลสนับสนุนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

  มิติที่10 การคิดเชิงอนาคต (Futuristic Thinking) หมายถึง ความสามารถในการคาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้น ในอนาคต อย่างมีหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม

3.6 มิติและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทิศนา แขมมณีและคณะ
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

     ทิศนา  แขมมณี  และคณะ ( 2542 : 60) ได้อธิบายกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณซึ่งมีวิธีคิด               ดังนี้  
  • 1. ตั้งเป้าหมายในการคิด       
  • 2. ระบุประเด็นในการคิด      
  • 3. ประมวนข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คิด ทางกว้าง  ลึกและไกล      
  • 4. วิเคราะห์  จำแนกแยกแยะจัดหมวดหมู่ของข้อมูลและเลือกข้อมูลที่จะนำมาใช้       
  • 5. ประเมินข้อมูลที่จะใช้ในแง่ความถูกต้อง  ความเพียงพอ  และความน่าเชื่อถือ       
  • 6. ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูล เพื่อแสวงหาทางเลือกหรือคำตอบที่ สมเหตุสมผลตามข้อที่มี     
  • 7. เลือกทางเลือกที่เหมาะสมโดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมาและคุณค่าหรือ ความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้น       
  • 8. ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย  คุณโทษในระยะสั้นและระยะยาว 
  • 9. ไตร่ตรอง  ทบทวนกลับกลับไปกลับมาให้รอบคอบ       
  • 10. ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด   

   😲สรุปได้ว่า  กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณนั้น  ขั้นตอนการฝึกการคิดหลายรูปแบบ  ตามหลักการและแนวคิดของนักการศึกษาต่าง ๆ ที่ได้ผ่านการทดลองมาแล้ว  ดังนั้นครูผู้สอน สามารถเลือกกระบวนการการคิดที่มีขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่เหมาะสมกับเรื่องที่จะสอนหรือให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมการจัดการเรียนรู้  ซึ่งขั้นตอนส่วนใหญ่จะมีหัวข้อที่สามารถสรุปได้ว่ามีความ คล้ายคลึงกันในเรื่องต่อไปนี้  คือ 1) การทำความเข้าใจกับปัญหา / ประเด็นสำคัญ / สถานการณ์ที่ พบ  2) การรวบรวมข้อมูล  ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการนำมาเป็นแนวทางการแก้ปัญหา และ  3) การวิเคราะห์ข้อมูล  พิจารณาข้อมูลเพื่อหาทางเลือกหรือคำตอบที่ถูกต้อง  อย่าง รอบคอบ  ประเมินทางเลือกหลาย ๆ ทาง


3.7 กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โกวิท ประวาลพฤกษ์

       💥โกวิท ประวาลพฤกษ์ นักวิชาการคนสำคัญท่านหนึ่งในวงการศึกษาได้นำเสนอความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาค่านิยมและจริยธรรมไม่ว่า ควรเริ่มต้นด้วยการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมและดำเนินการสอนตามขั้นต่อไปนี้
  • 1.กำหนดพฤติกรรมทางจริยธรรมที่พึงปรารถนา
  • 2.เสนอตัวอย่างพฤติกรรมในปัจจุบัน
  • 3.ประเมินปัญหาเชิงจริยธรรม
  • 4.แลกเปลี่ยนผลการประเมิน
  • 5.ฝึกพฤติกรรมโดยมีผลสำเร็จ
  • 6.เพิ่มระดับความขัดแย้ง
  • 7.ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
  • 8.กระตุ้นให้ผู้เรียนยอมรับตัวเอง


  3.8 กระบวนการต่างๆโดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษา
    กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมวิชาการสำนักงานคณะกรรมการแระถมศึกษาแห่งชาติ กรมสามัญและกรมเอกชนศึกษา ได้สนับสนุนให้ีพิจารณานำกระบวนการเรียนรู้รูปแบบต่างๆไปใช้ในการเรียนการสอน โดยเสนอแนะกระบวนการที่ครูครูควรใช้12กระบวนการด้วยกัน ดังนี้

3.8.1 ทักษะกระบวนการ9 ขั้น
           🙇 นวัตกรรมที่เป็นแนวคิด รูปแบบ และกระบวนการจัดการเรียนรู้ 9 ขั้นตอนดังนี้.

  • 1.ขั้นตระหนักในปัญหาและความจำเป็น
  • 2.ขั้นคิด วิเคราะห์อย่างรอบคอบความจำเป็น
  • 3.ขั้นสร้างทางเลือกอย่างหลากหลาย
  • 4.ขั้นประเมินและเลือกทางเลือกย่างเหมาะสม
  • 5.ขั้นกำหนดขั้นตอนลำดับได้อย่างได้อย่างเหมาะสม
  • 6.ขั้นปฏิบัติได้อย่างชื่นชม
  • 7.ขั้นประเมินด้วยตนเองระหว่างปฏิบัติ
  • 8.ขั้นตอนปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
  • 9.ขั้นประเมินผลเพื่อความภูมิใจ
       🙅ทักษะกระบวนการแต่ละขั้นมีรายละเอียดของกิจกรรมและพฤติกรรมที่แสดงออการางที่3 ทักษะกระบวนการ 9ขั้น กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง และพฤติกรรมที่แสดงออก  ทักษะกระบวนการ กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง พฤติกรรมการแสดงออก


3.8.2 กระบวนการการสร้างความคิดรวบยอด 
  • 1.สังเกต  ให้ผู้เรียนรับรู้ข้อมูล และศึกษาด้วยวิธีต่างๆโดยใช้สื่อประกอบเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดข้อกำหนดเฉพาะด้วยตนเอง
  • 2.จำแนกความแตกต่าง ให้ผู้เรียนบอกความแตกต่างของสิ่งที่รับรู้และให้เหตุผลความต่างนั้น
  • 3.หาลักษณะร่วม  ผู้เรียนมองเห็นความเหมือนในภาพรวมของสิ่งที่รับรู้และสรุปเป็นวิธีการหลักการคำจำกัดความหรือนิยาม
  • 4.ระบุความคิดรวบยอด  ผู้เรียนได้ความคิดรวบยอดที่เกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้
  • 5.ทดสอบและนำไปใช้ ผู้เรียนได้ทดลองทดสอบสังเกตทำแบบฝึกหัดปฏิบัติเพื่อประเมินความรู้



3.8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
      👌👌กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณยานเป็นความสามารถทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ความจำจนถึงขั้นการวิเคราะห์สังเคราะห์และการประเมินค่าตามแนวคิดของบลูม หรือแนวคิดของกานเย่ ซึ่งเริ่มจากการเรียนรู้สัญลักษณ์ทางภาษาจนเชื่อมโยงเป็นความคิดรวบยอดเป็นกฎเกณฑ์และนำกฎเกณฑ์ไปใช้. ผู้สอนควรพยายามใช้เทคนิคต่อไปซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เป็นขั้นๆอาจจะใช้เทคนิคใดก่อนหลังก็ได้ขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ความพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนผ่านขั้นตอนย่อยทุกขั้นตอนดังนี้
  • 1.ขั้นสังเกต
  • 2.อธิบาย
  • 3.รับฟัง
  • 4.เชื่อมโยงความสัมพันธ์
  • 5.วิจารณ์
  • 6.สรุป

3.8.4 กระบวนการการแก้ปัญหา 
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ต้องให้ผู้เรียนเกิดความคิด
  ⇥ 1.สังเกต
ให้นักเรียนไปศึกษาข้อมูล รับรู้และทำคามเข้าใจในปัญหาจนสามารถสรุปและตระนักในปัญหานั้น

  ⇥ 2.วิเคราะห์
ให้ผู้เรียนได้อภิปราย หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อแยกแยะประเด็นปัญห สภาพ สาเหตุละลำดับความ
สำคัญของปัญหา

   ⇥3.สร้างทางเลือก
ให้ผู้เรียนแสวงหาทาเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลายซึ่งมีการทดลอง ค้นคว้า เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทำกิจกรรม

   ⇥4.เก็บข้อมูลประเมินทางเลือก
ผู้เรียนปฏิบัติวางแผนงานและบันทึกการปฏิบัติงาน เพื่อรายงานและตรวจสอบความถูกต้อง

  ⇥ 5.สรุป
ผู้เรียนสังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำในรุปแบบของรายงาน


3.8.5 กระบวนการการสร้างความตระหนัก
   กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเอาใจใส่รับรู้เห็นคุณค่าในปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมทั้งเป็นรูปธรรมและนำประธรรมขั้นตอนดำเนินการ มีดังนี้
    ➱1.สังเกต
    ให้ข้อมูลที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเอาใจใส่และเห็นคุณค่า

    ➱2.วิจารณ์
    ให้ตัวอย่างสถานการณ์ประสบการณ์ตรงเพื่อให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์หาสาเหตุและผลเสียผลดีที่เกิดขึ้นในระยะสั้นและระยะยาว

   ➱ 3.สรุป

    ให้อธิบายหาข้อมูลหรือหลักฐานมาสนับสนุนคุณค่าของสิ่งที่จะต้องตระหนักและวางเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในเรื่องนั้น

3.8.6 กระบวนการปฏิบัติ
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นผู้เรียนปฏิบัติจนเกิดทักษะ    มีขั้นตอนดังนี้
     ➦1.สังเกตรับรู้ 
     ให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างที่หลากหลายจนเกิดความเข้าใขและสรุปความคิดรวบยอด
     
      ➦2.ทำตามแบบ
     ทำตามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นที่ละขั้นตอน จากขั้นพื้นฐานไปสู่ขั้นที่ซับซ้อน

     ➦3.ทำเองโดยไม่มีแบบ
     เป้นการปฏิบัติตามขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตนเอง

     ➦4.ฝึกให้ชำนาญ
     ให้ผู้เรียนปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความชำนาญ หรือทำได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจเป้นงานชิ้นเดิมหรืองานที่คิดขึ้นใหม่

3.8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์ 
   กระบวนการนี้มี2วิธี คือ. สอนทักษะถ้าคิดคำนวนและทักษะแก้ปัญหาโจทย์ การสอนทักษะการคิด
คำนวนมีขั้นตอนย่อยคือ การสร้างความคิดรวบยอดของคำนิยามศัพท์. สอนกฎโดยวิธีอุปนัย(สอนจากตัวอย่างไปสู่เกณฑ์ใหม่) ฝึกการวินิจฉัยปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง
   ส่วนการสอนทักษะแก้ปัญหาโจทย์มีขั้นตอนย่อยคือ แปดศูนย์ในเชิงภาษาหาวิธีแก้ปัญหาโจทย์วางแผนปฏิบัติตามขั้นตอนและตรวจสอบคำถาม


3.8.8 กระบวนการการเรียนภาษา
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้เกิดการพัฒนาทางภาษา มีขั้นตอนดังนี้
    ➤1.ทำความเข้าใจสัญลักษณ์สื่อรูปภาพรูปแบบเครื่องหมาย
    ผู้เรียนรับรู้เกี่ยวกับความหมายของคำกลุ่มคำประโยคและถ้อยคำสำนวนต่างๆ

  ➤ 2.สร้างความคิดรวบยอด
   ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้ประสบการณ์นำมาสู่ความเข้าใจและเกิดภาพรวมเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนด้วยตัวเอง

   ➤3.สื่อความหมายความคิด
   ผู้เรียนถ่ายทอดทางภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้

   ➤4.พัฒนาความสามารถ
   ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามขั้นตอนคือความรู้. ความจำ. ความเข้าใจ. การนำไปใช้การวิเคราะห์  สังเคราะห์และประเมินค่า


3.8.9 กระบวนการกลุ่ม
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนทำงานร่วมกัน โดยเน้นกิจกรรม ดังนี้
  1. มีผู้นำกลุ่มซึ่งอาจผัดเปลี่ยนกัน
  2. วางแผนกำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ
  3. รับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกทุกคนบนพื้นฐานของเหตุผล
  4. แบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้มีการปฏิบัติ
  5. ติดตามผลการปฏิบัติและปรับปรุง
  6. ประเมินผลร่วมและชื่นชมในผลงานของคณะ



3.8.10 กระบวนการการสร้างเจตคติ
  กระบวนการนี้เป็นกระบวนการแทรกได้กับทุกเนื้อหา เน้นความรู้สึกที่ดีต่อกลุ่มที่เรียน อาจเป็นความคิด หลักการทการกระทำ เหตุการณ์ สถานการณ์ มีขั้นต้อนดังนี้
    🔺1.ผู้สังเกต 
    ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล เหตุการณ์ การะกระทำที่เกี่ยวข้องกับการมีเจตคติที่ดีและเจตคติที่ไม่ดี

    🔺2.วิเคราะห์
    ผู้เรียนพิจารณาผลที่เกิดขึ้นตามมา. แยกเป็นการกระทำที่เหมาะสมได้ผลตามที่น่าพอใจและการกระทำที่ไม่เหมาะสมได้ผลที่ไม่น่าพอใจ

    🔺3.สรุป
    ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลที่เป็นหลักการ แนวคิด แนวปฏิบัติ


3.8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเกิดการยอมรับและเห็นคุณค่าของค่านิยมด้วยตนเอง มีขั้นตอนดังนี้
    ➘1.สังเกต ตระหนัก
    ผู้เรียนพิจารณาการกระทำที่เหมาะสมและการกระทำที่ไม่เหมาะสม รับรู้ความหมายจำแนกการกระทำที่แตกต่างกันได้

    ➘2.ประเมินเชิงเหตุผล
    ผู้เรียนใช้กระบวนการอภิปรายกลุ่มแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์วิจารณ์การกระทำของตัวละครหรือบุคคลในสถานการณ์ต่างๆว่าเหมาะสมหรือไม่เพราะเหตุใด

    ➘3.กำหนดค่านิยม
    ผู้เรียนแต่ละคนแสดงความเชื่อความพอใจในการกระทำที่ควรกระทำในสถานการณ์ต่างๆพร้อมเหตุผล

    ➘4.วางแผนปฏิบัติ
    ผู้เรียนช่วยกันกำหนดแนวปฏิบัติในสถานการณ์จริงโดยมีครูร่วมรับทราบกติกาการกระทำและสำรวจสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องได้รับเลือกกระทำดีแล้วเช่น การได้ประกาศชื่อเป็นที่ยอมรับ

    ➘5.ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
    ครูให้การเสริมแรงระหว่างการปฎิบัติเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความชื่นชมยินดี


3.8.12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ
กระบวนการนี้ใช้กับเนื้อหาเชิงความรู้ในการเรียน มีขั้นตอนดังนี้

    ➫1.สังเกต ตระหนัก
    ผู้เรียนพิจารณาข้อมูลสาระความรู้เพื่อสร้างความคิดรวบยอด ตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกตสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ที่จะแสวงหาคำตอบ

   ➫2.วางแผนปฏิบัติ
   ผู้เรียนนำวัตถุประสงค์หรือคำถามที่ทุกคนสนใจจะหาคำตอบมาวางแผนเพื่อกำหนดแนวทางปฎิบัติที่เหมาะสม

   ➫3.ลงมือปฏิบัติ
    ครูกำหนดให้สมาชิกในกลุ่มย่อยๆได้แสวงหาคำตอบจากแหล่งความรู้ด้วยวิธีต่างๆเช่น ค้นคว้า สัมภาษณ์ ศึกษานอกสถานที่ หาข้อมูลจากองค์กรในชุมชน ฯลฯ ตามแผนงานที่วางไว้

  ➫ 4.พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ
    ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้มารายงานและอภิปรายเชิงความหมาย แปลความ ตีความ ขยายความ. นำไปใช้วิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่า

   ➫5.สรุป
   ผู้เรียนรวบรวมเป็นสาระที่ควรบันทึกลงสมุด
 
      🙈 จะเห็นได้ว่ากระบวนการรวมทั้งรูปแบบการเรียนการสอนต่างๆดังได้เสนอไปแล้วข้างต้นมีจำนวนและความหลากหลายพอสมควรซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกเป็นจำนวนมากผู้สอนซึ่งเพิ่งตระหนักว่าศาสตร์แห่งการสอนและให้แนวทางในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่างหลากหลายพอสมควร. หากผู้สอนรู้จักแสวงหาศึกษาเรียนรู้และนำไปทดลองช้ายจะสามารถช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ มีชีวิตชีวาและมีความหลากหลายไม่จำเจอยู่กับวิธีการหรือกระบวนการเพียงไม่กี่วิธีซึ่งอาจทำให้ผู้สอนและผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย 🙉





    😷สรุป😷
    📌ในช่วง3 ศตวรรษที่ผ่านมาในขณะที่วงการศึกษาไทยได้รับหัวคิดและแนวทางต่างๆจากต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่และใช้ในประเทศไทยนั้นได้มีนักคิดนักการศึกษาไทยจำนวนหนึ่งพยายามคิดค้นและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้วยกระบวนการการเรียนการสอนขึ้นจากความรู้ความคิดและประสบการณ์ของตน อยู่ประยุกต์จากทฤษฎีและหลักการทั้งของไทยและต่างประเทศที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้วบางรูปแบบหรือกระบวนการที่พัฒนาขึ้นได้รับพิสูจน์จากการทดลองอย่างเป็นระบบระเบียบตามกระบวนการวิจัย แต่บางรูปแบบหรือกระบวนการเป็นการนำเสนอความคิดแม่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทดสอบอย่างเป็นระบบแต่ก็ได้รับความสนใจและความนิยมโดยทั่วไปรูปแบบและกระบวนการที่ได้นำเสนอในบทนี้ประกอบด้วยรูปแบบการเรียนการสอนที่ได้พัฒนาขึ้นโดยนักการศึกษาไทย หรือหน่วยงานทางการศึกษาของไทยจำนวน4รูปแบบ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการคิดการเผชิญสถานการณ์การตัดสินใจและการแก้ปัญหารวมทั้งพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาพ.ศ. 2542
      📌นอกจากนั้นยังมีรูปแบบการเรียนการสอนที่น่าสนใจซึ่งพัฒนาขึ้นโดยใช้กระบวนการวิจัยในการพัฒนาและได้รับการพิสูจน์การทดลองประสิทธิภาพมาแล้วซึ่งครูสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา รวมทั้งอาชีวศึกษาได้นอกเหนือจากรูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าวผู้เขียนได้นำเสนอกระบวนการต่างๆที่สามารถใช้ในการพัฒนาผู้เรียนในด้านต่างๆเช่น การพัฒนาด้านค่านิยม จริยธรรม เจคติต่างๆ การพัฒนาทางด้านการคิด การปฏิสัมพันธ์และการทำงานเป็นกลุ่ม รวมทั้งการปฏิบัติและการแก้ปัญหาต่างๆ
     📌 นอกจากนั้นยังมีกระบวนการทางด้านการเรียนรู้วิชาการต่างๆเช่น การเรียนรู้ภาษาและคณิตศาสตร์ เป็นต้น ความหลากหลายของรูปแบบและกระบวนการต่างๆดังกล่าวข้างต้นสามารถช่วยให้ผู้สอนมีทางเลือกในการจัดการเรียนรู้การเรียนการสอนมากขึ้นซึ่งผู้สอนควรพิจารณานำไปใช้ เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพรวมทั้งมีความแปลกใหม่ซึ่งสามารถจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจใฝ่รู้มากขึ้นด้วย



📎📍ออกแบบโมเดลและสรุปความรู้ความเข้าใจ📍📎


 👬 การทบทวน คือ การคิดถึงเรื่องที่เราทำไปแล้ว โดยการที่ครูได้จัดการเรียนการสอนไปแล้วจะได้ย้อนกลับทบทวนตนเองด้วยกระบวนการที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และต้องดำเนินไปเป็นวัฏจักรต่อเนื่อง มีการคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ หลากหลาย บนพื้นฐานของค่านิยม  การปฏิบัติ การปรับปรุงและสภาพแวดล้อมในอาชีพ วัตถุประสงค์พื้นฐานก็คือ การปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน สิ่งสำคัญ คือความเข้าใจในบทบาทของตนเองในเรื่อง ค่านิยม เอกลักษณ์ของอาชีพครู อีกทั้งยังช่วยให้ครูเลือกการสอนได้อย่างเหมาะสม มีความคิดสร้างสรรค์ มีความมั่นใจ มีการดำเนินการอย่างมีระบบ และใช้ข้อมูลจากการสอน การดำเนินการแบบย้อนคิดทบทวนมีประเด็นสำคัญดังนี้  
  • 1) การทบทวนตนเองหลังการสอน 
  • 2) ลักษณะการทบทวนตนเองหลังการสอน 
  • 3) การทบทวนตนเองเรื่อง ค่านิยม : การเป็นมืออาชีพ  
  • 4) การทบทวนตนเองหลังการสอน: การแก้ปัญหาด้านการสอน 
  • 5) การทบทวนตนเองเพื่อปรับปรุง : การทดสอบความถูกต้องของการปฏิบัติ 
  •  6) การทบทวนตนเองเรื่องสภาวะแวดล้อม : ความร่วมมือในทางปฏิบัติ 
  • 7) การทบทวนการทำงานของตนเองในภาพรวม : การไตร่ตรอง

    การทบทวนตังเองหลังการสอนเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นการคิดไตร่ตรอง การมองเห็นข้อผิดพลาดของตน ทำให้พัฒนาตนเองจากจุดที่ขาด นำมาปรับปรุง เพิ่มเติมขึ้นจากเดิม ทำให้งานสมบรูณ์ขึ้น  มองเห็นความถูกต้อง ความเป็นมืออชีพของตัวเอง


    เทคนิคการสอน ประกอบด้วย
  •         องค์ประกอบการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ 
  •         ผลลัพธ์ที่แสดงในชั้นเรียน
  •         ผลลัพธ์ในโรงเรียน
  •         ผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นโลกความเป็นจริง

    ในเทคนิคการสอน องค์ประกอบการเรียนการสอนที่มีคุณภาพนั้นจะต้องครบคัน ทันสมัยและเกิดประโยชน์ในการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเกิดความรู้ควบคู่ไปด้วย และผลลัพธ์ในชั้นเรียนจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเทคนิคการสอนของเราเป็นอย่างไร ต้องปรับปรุงตรงไหนให้การแสดงในชั้นเรียนดีขึ้นไปอีก ผลลัพธ์ในโรงเรียนคือโรงเรียนมีคุณภาพนักเรียนดีขึ้น ผลการเรียนการเฉลี่ยรวมของนักเรียนอยู่ในเกณฑ์มาตราฐานที่สากลกำหนด และสุดท้ายผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นโลกความเป็นจริงคือการเรียนไม่ใช่แค่สอนหนังสือเท่านั้น ต้องสอนมารยาท การมีกาละเทศะ การออกไปใช้ชีวิต การคิดนอกกรอบ หรือหลาๆอย่าง ถ้าผลลัพธืที่ออกมาคือเด็กทั้งเก่งและมีมารยาท สามารถเอาตัวรอดได้ในสังคม
    การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องมีแค่โลกในห้องเรียนและในโรงเรียนเท่านั้น ยังมีการเรียนรู้ทั้งโลกนอกห้องเรียนและนอกโรงเรียนเช่นกัน เพื่อการมองโลกให้กว้างขึ้น ไม่คิดอยู่ในกรอบ แบบที่คิดว่าดีแล้วอาจจะมีอะไรที่มากกว่านั้น ฝึกจินตนาการ ฝึกความคิดนอกกรอบ การแตกกรอบอย่างมีขอบเขตุที่มีเหตุผลรองรับ



   
     การทบทวนตัวเองในการสอนมีหลายปัจจัยและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำให้มีความคิดแตกยอดออกมาได้หลายด้าน ทั้งทางบวกและทางลบ ดารให้กำลังใจตนเองหรือการบั่นทอนกำลังใจในการสอน อยู่ที่ตัวเราจะคิดในด้านไหน การกังวลในสิ่งที่เราทำว่าดีที่สุด ดีพอแล้วหรือไม่ การมั่นใจในตัวเองว่าเราสามารถทำได้หรือพิชิตความกลัวไปได้ ดังนั้น การคิดทบทวนทำให้เราได้รู้อะไรหลายๆอย่างมากขึ้นทั้งขอที่เราทำดีแล้วหรือข้อที่เราต้องปรับปรุงแก้ไข และคิดที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆไม่หยุดพัก