วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

สัปดาห์ที่2


👀วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้👀
(Instructional System Design)

      บทที่1 แนวคิดการออกแบบการเรียนการสอน
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

           ระบบการสอน หรือระบบการเรียนการสอน (IS : Instructional System) เป็นการนำเอาวิธีการระบบ (System Approach) หรือวิธีระบบ มาใช้ในการเรียนการสอน โดยที่ระบบจะหมายถึง ส่วนต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กัน ได้แก่ส่วนนำเข้า (Input) ส่วนดำเนินการ (Process) และส่วนผลลัพธ์(Output) ระบบการสอนจึง ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อย ๆ ที่สัมพันธ์กัน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ผู้เรียน ผู้สอน สื่อการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล เป็นต้น องค์ประกอบย่อย ๆ ของระบบจะมีหน้าที่อย่างอิสระซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นภายในองค์ประกอบย่อย ๆก็จะส่งผลกระทบถึงระบบด้วย เช่น ถ้าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานไม่เพียงพอ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่ผ่านเกณฑ์เป็นต้น

           ระบบการสอนที่ออกแบบโดยใช้วิธีการระบบ ได้มีการประยุกต์ใช้งานอย่างกว้างขวาง โดยการกำหนดขั้นตอนการสอน ประกอบด้วย การกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยอาศัยสื่อต่าง ๆ และการใช้แหล่งความรู้ต่าง ๆ โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเป็นต้น เพื่อตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็น เพศ วัย อัตราการเรียนรู้ ความสนใจ ความถนัด และประสบการณ์เดิม รวมทั้งพื้นฐานทางประเพณีและวัฒนธรรมซึ่งผู้สอนและผู้ที่เกี่ยวข้องจะมีบทบาทในการออกแบบพัฒนาระบบการสอน เพื่อวางแผนการบูรณการเกี่ยวกับองค์ประกอบต่าง ๆ ของระบบการสอน ให้เหมาะสมกับพัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้บรรลุความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
            การออกแบบระบบการสอน (ISD : Instructional System Design หรือ ID : InstructionalDesign) หมายถึง การจัดระบบการสอนอย่างมีระบบ โดยอาศัยความรู้เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ซึ่งรวบรวมองค์ประกอบและปัจจัยต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่กระบวนการตัดสินใจออกแบบระบบ แล้วจึงทำการทดลองและปรับปรุงแก้ไขจนใช้ได้ผล เป็นการนำไปสู่ความสำเร็จของการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ กระบวนการออกแบบระบบการสอน จะประกอบไปด้วยหลักพื้นฐาน 4ส่วน ดังต่อไปนี้     1. วัตถุประสงค์ เป็นส่วนที่กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของผู้เรียน     2. ผู้เรียน โดยพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียน เพื่อการออกแบบระบบการสอนให้เหมาะสม     3. วิธีการและกิจกรรม กำหนดวิธีการและกำหนดกิจกรรมในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ    4. การวัดและประเมินผล เป็นการกำหนดวิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์สำหรับการนิยามของคำว่าการออกแบบระบบการสอน ได้มีการนิยามไว้เป็นประเด็น ๆดังนี้    
⇒Instructional System Design is a Process หมายถึง การออกแบบระบบการสอนเป็นกระบวนการที่มีขั้นตอน โดยใช้วิธีการระบบตามหลักการศึกษาและทฤษฎีการเรียนการสอน เพื่อออกแบบบทเรียนให้มีคุณภาพ แต่ละขั้นตอนจึงมีความสัมพันธ์กันทั้งวัสดุการเรียนและกิจกรรมการเรียน ในขั้นตอนสุดท้ายของการออกแบบการเรียนการสอนส่วนฬหญ่จะเป็น ขั้นตอนของการวัดและประเมินผลInstructional ⇒System Design is a Discipline หมายถึง การออกแบบระบบการสอนเป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่เกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินการอย่างเป็นระบบและถูกต้องInstructional System ⇒Design is a Science หมายถึง การออกแบบระบบการสอนเป็นวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยขั้นตอนการออกแบบ การพัฒนา การทดลองใช้ การประเมินผล และการบำรุงรักษา ภายใต้สถานการณ์ที่กำหนดไว้ โดยเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน
⇒Instructional System Design is a Reality หมายถึง การออกแบบระบบการสอนเป็นกระบวนการของความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ เนื่องจากอาศัยหลักการของการใช้เหตุและผลบนพื้นฐานของความจริง โดยยึดหลักการศึกษา              
               การออกแบบการเรียนการสอนเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ประสบการณ์ความรู้และทักษะอย่างกว้างขวางเพื่อที่จะแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดภายในข้อจำกัดที่มีอยู่การออกแบบเกี่ยวข้องกับการระบุปัญหาและทำปัญหาให้กระจ่างประกอบไปด้วยการตอบสนองที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนทดสอบแก้ไขปัญหานั้น และปรับปรุงแก้ไขปัญหาแล้วเริ่มต้นออกแบบให่อีกครั้ง ทั้งเป้นกิจกรรมที่บ่อยครั้งใช้ความจริงหรือการแก้ไขปัญหาที่รู้ๆกันอยู่แล้ว การออกแบบเป็นสิ่งที่มากกว่าการแก้ปัญหาธรรมดาๆโดยทั่วไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการทั้งหมดในการแก้ปัญหา เริ่มตั้งแต่มโนทัศน์จนถึงการประเมินผลซึ่งรวมถึงราคาที่ปรากแก่สายตา ลีลา สมัยนิยมและโรงงาน                                 
            การออกแบบผลิตภัณฑ์ งานเกือบทุกๆด้านของชีวิตต้องการการออกแบบ การออกแบบการเรียนการสอนเป็นกระบวนการของการป้องกันด้วยการวางแผนแก้ไขปัญหาก่อนการเรียนการสอน โดยการวิเคราะห์สถานการณ์หรือเงื่อนไขการเรียนรู้อย่างเป้นระบบสมรรถภาพที่ต้องการผู้ออกแบบ และมีพันามาตามวิธีการเชิงระบบในการพัฒนาการฝึกอบรมของกองทหารระหว่างสงครามฌลกครั้ที่2ซึ่งมีพื้นฐานแนวคิดว่าการเรียนรู้จะไม่เกิดขึ้นตามบุญตามกรรมแต่จะพัฒนากลมกลืนไปกับการเรีงลำดับของกระบวนการและมีการวัดผลที่ได้รับด้วย

       การเรียนรู้การสอนคือพฤติกรรมที่มีการบรูณาการและเกี่ยวข้องกับการกลั่นกรอง การวิเคราะห์ การจัดการ สารสนเทศ เนื่องจากความหลากหลายในทักษะเช่น จิตวิทยา การศึกษา การติดต่อสื่อสารและเทคโนโลยีนำไปใช้ในทักษะต่างๆ   
      การออกแบบการสอนวิธีการเชิงความรู้ ผู้เรียนจะได้รับกรคาดหวังว่าสามารถบอกหลักการของการออกแบบการเรียนการสอนได้
      การออกแบบการสอนวิธีการเชิงผลิตภัณฑ์ ผู้เรียนจะได้รับการคาดหวังว่าสามารถประยุกต์ใช้หลักการในการออกแบบวัสดุการเรียนการสอนได้ และผู้เรียนไม่เพียงแต่รู้เกี่ยวกับการออกแบบแต่กลับผนวกพัฒนาวัสดุการเรียนการสอนเข้าไว้ในวิธีการนี้ดิคและคาเรย์พบว่าเป็นสิ่งที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดในการสอนการออกแบบการเรียนการสอน

        แบบจำลองสำหรับวิธีการเชิงระบบมีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัตเท่าๆกับการวิจัยและทฤษฎี มีการพัฒนาเทคนิคเพื่อขั้นตอนของกระบวนการดำเนินไปได้ เช่น วิธีการนิยามจะเรียนรู้อะไร จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดอย่างไร จะสอนและวัดผลได้อย่างไร
       วิธีการออกแบบการเรียนการสอนโดยทั่วไปแล้วประกอบด้วยขั้นตอนการวิเคราะห์ การออกแบบ การพัฒนา การนำไปใช้ การประเมินผลดังนั้นกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน รวมถึงนิยามว่าผู้เรียควรรู้อะไร มีการวางแผนอย่างไร เรียนรู้กลั่นกรองการเรียนการสอนอย่างไรจนบรรลุจุดประสงค์ วิธีการออกแบบการเรียนการสอนที่เ็นที่ยอมรับเป็นทางการจากองค์กรใหญ่ๆ เช่นกองทัพ เป็นที่ใ้กันอย่างแพร่หลายในอุสหกรรมการธนาคารจนไปถึงโรงเรียน โรงพยาบาล การออกแบบการเรียนการสอนสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรทีทมีควาซับซ้อนในระบบใหญ่ๆเพื่อปรับปรุงการนำเสนอหรือการเรียน

         พื้นฐานสำคัญของบทน้แบ่งออกเป็น7ขั้นตอนคือ ตอนแรกกล่าวถึงความต้องการในการออกแบบการเรียนการสอน ตอนที่สองนิยามการออกแบบการเรียนการสอน ตอนที่สามประโยชน์ของการออกแบบการเรียนการสอน ตอนที่สี่แบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนโดยทั่วไป ตอนที่ห้าบทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอน ตอนที่หกงานและผลิตผลขงการออกแบบการเรียนการสอน และตอนสุดท้ายเป็นสมรรถภาพของผู้ออกแบบการเรียนการสอน
เมื่อเป้าหมายของราบวิชาคือ ความรุู้ แหล่งสารสนเทศจึงเป็นตำรา บทบาทของผู้สอนคือการขยายหลักการที่มีอยู่ในวัสดุหลักสูตรต่างๆ จัดเตรียมตัวอย่างและประเมินความต้องการความรู้ของผู้เรียนการออกแบบการเรียนการสอนเหมาะสมกับการเรียนการสอนที่ทำให้สามารถเข้าใจมโนทัศน์ด้านการศึกษาได้อย่างแพร่หลายเช่น ความคิดเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการปฏิบัติ และการประเมินผลเพื่อปรับปรุงการสอนซึ่งจะปรากฎในรูปการออกแบบการเรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนการสอน

💨ความต้องการในการออกแบบการเรียนการสอน💨
คิดและคาเรย์ได้กลาวกว่า ความต้องการในการออกแบบการเรียนการสอน คือ ความจำเป้นเร่งด่วนในทันทีโดยยกตัวอย่างว่า นักออกแบบกาเรียนการสอน12คนที่ทำงานเกี่ยวกับเตาปฎิกรณ์ปรมาณูในท้องถิ่นต้องมีปริญญาทางเทคโนโลยีการเรียนการสอนและการรับผิดชอบเพื่อจะทำให้เกิดความแน่ใจของคุณภาพในการเรียนการสอนทุกระดับ

รูปแบบระบบการออกแบบการสอนของดิคและคาเรย์

ดิค และคาเรย์ (Dick; & Carey. 1985) ได้เสนอรูปแบบระบบการออกแบบการสอน สรุปรวมได้ 3 องค์ประกอบ คือ
1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอน
2. การพัฒนาการสอน
3. การประเมินการเรียนการสอน
จาก 3 องค์ประกอบ สามารถจัดแบ่งกิจกรรมการออกแบบระบบการสอนออกเป็น 10 ขั้นตอน คือ
1. กำหนดจุดมุ่งหมายการสอน (Identify Instructional Goals) เป็นการกำหนดความมุ่งหมายการสอน ซึ่งต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับความมุ่งหมายทางการศึกษา จากนั้นก็ทำการวิเคราะห์ความจำเป็น (Needs Analysis) และวิเคราะห์ผู้เรียน
2. การวิเคราะห์การสอน (Conduct Instructional Analysis) ขั้นตอนนี้อาจทำก่อนหรือหลังขั้นที่ 3 หรืออาจทำไปพร้อม ๆ กันก็ได้ การวิเคราะห์การสอนเป็นการวิเคราะห์ภารกิจ หรือวิเคราะห์ขั้นตอนดำเนินการสอน ผลการวิเคราะห์การสอนที่ได้ จะเป็นการจัดหมวดหมู่ของภารกิจ (Task Classification) ตามลักษณะของจุดมุ่งหมายการสอน
3. ศึกษาพฤติกรรมเบื้องต้นและคุณลักษณะของผู้เรียน (Identify Entry Behaviors) ว่าเป็นผู้เรียนระดับใด มีพื้นความรู้เพียงใด
4. เขียนจุดมุ่งหมายการเรียน (Write Performance Objectives) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะหรือจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม และสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการสอน เพื่อประโยชน์ คือ
4.1 ช่วยให้มองเห็นแนวทางการเรียนการสอน
4.2 เป็นแนวทางในการวางแผน การจัดสภาพแวดล้อมการเรียน
4.3 ช่วยให้เห็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบ
4.4 ช่วยผู้เรียนให้เรียนอย่างมีจุดมุ่งหมาย
5. สร้างแบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Develop Criterion Referenced Test Items) เพื่อประเมินการเรียนการสอน
6. พัฒนายุทธศาสตร์การสอน (Develop Instructional Strategy) เป็นแผนการสอนหรือเหตุการณ์การสอน ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามจุดมุ่งหมายการสอน
7. พัฒนาและเลือกวัสดุการเรียนการสอน (Develop and Select Instructional Materials) เป็นการพัฒนาและเลือกสื่อการเรียนการสอนทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโสตทัศน์
8. ออกแบบและจัดการประเมินระหว่างเรียน (Design and Conduct Formative Evaluation)
9. ออกแบบและจัดการประเมินหลังเรียน (Design and Conduct Summative Evaluation)
10. แก้ไขปรับปรุงการสอน (Revise Instruction) เป็นขั้นการแก้ไขและปรับปรุงการสอนตั้งแต่ขั้นที่ 2 ถึงขั้นที่ 8 
องค์ประกอบของรูปแบบระบบการออกแบบการสอนของดิคและคาเรย์ แสดงดังภาพประกอบ 
           รูปแบบการสอนของดิค แอนด์แคเรย์(1990) พัฒนามาจากวิธีการระบบ โดยมีส่วนคล้าย
กับรูปแบบการสอน ADDIE แตกต่างกันเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น ซึ่งก็คือ การประเมินและการ
วิเคราะห์ ซึ่ง ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนย่อย ๆ ได้แก่ การประเมินความต้องการ และการวิเคราะห์
ส่วนหน้า สำหรับการประเมินความต้องการ จะเป็นการพิจารณาความต้องการของผู้เรียน
เป้าหมายของการ เรียนรู้ และข้อจำกัดต่าง ๆ รวมทั้งส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนการวิเคราะห์ส่วนหน้า จะเป็นการพิจารณาสถานการณ์การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ การวิเคราะห์สื่อ และส่วนอื่นๆ สำหรับ ขั้นตอนที่ 2 ถึง ขั้นตอนสุด ท้าย จะมีรายละเอียดคล้ายกับรูปแบบการสอน ADDIE



💨นิยามการออกแบบการเรียนการสอน💨
        ริตาและริชชีย์ นิยามไว้ว่า หมายถึงวิทยาศาสตร์การสร้างสรรค์รายละเอียดที่ชี้เฉพาะเพื่อการพัฒนา การประเินผลและการบำรุงรักษาสถานการณ์หรือเงื่อนไขที่อำนวยความสะดวกให้กับการเรียนรู้ในหน่วยวิชาหรือเนื้อหาทั้งหน่อยใหญ่และหน่วยย่อย แต่ผู้ให้ความช่วยเหลือบนพื้นฐานของความรู้ในขณะที่ไชยยศ เรืองสุวรรณ ได้นิยามว่า การออกแบบการเรียนการสอนเป็นการวางแผนการเรียนการสอนอย่างมีระบบ เพื่อให้บรรลุจุดหมายจุดเริ่มต้นของการออกแบบการเรียนการสอนควรพิจรณาองค์ประกอบเบื้องต้นของระบบและพิจรณาสภาพทั่วไปเกี่ยวกับการเรียนการสอน และไชยยศยังได้เสนอกรอบแนวคิดมีองค์ประกอบ4ประการคือ ผู้เรียน จุดหมาย วิธีสอน การประเมินผลโดยได้ตั้งคำถามที่คล้ายคลึงกับไทเลอร์คือ 1.จะออกแบบและพัฒนาโปรแกรมไว้เพื่อใครเป็นการพิจรณาลักษะของผู้เรียน 2.ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรหรือสามารถทำอะไรได้บ้าง 3.ผู้เรียนจะเรียนรู้วิชาหรือทักษะได้ดีที่สุดอย่างไร 4.จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้เรีียนประสบความสำเร็จ

💨ประโยชน์และข้อจำกัดของการออกแบบการเรียนการสอน💨
 ระบบการเรียนการสอนและวิธีการเชิงระบบ ได้มีบทบาทสำคัญในการออกแบบและ พัฒนาการเรียนการสอน  อย่างไรก็ตามพบว่าระบบการเรียนการสอนและวิธีการเชิงระบบที่ใช้อยู่เดิมแม้ จะมีประโยชน์อย่างมากแต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ ซึ่งนำไปสู่แนวคิดใหม่ในการออกแบบระบบการ เรียนการสอน และรูปแบบของการออกแบบการเรียนการสอน ดังนี้ 

  💢ประโยชน์ของการใช้ระบบการเรียนการสอน 💢
 1) ระบบการเรียนการสอนเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่จัดวางองค์ประกอบของการเรียนการสอน ต่าง ๆ ไว้อย่างเป็นระเบียบ ทำให้ครูรู้จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน การดำเนินการจัดการเรียนการสอน และการวัดผลผู้เรียน ซึ่งอำนวยความสะดวกแก่ครูในการเตรียมการสอนทำให้เกิดความพร้อมในการ ดำเนินงาน 

 2) ส่งเสริมให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ คือสามารถควบคุมการดำเนินงานให้ บรรลุจุดมุ่งหมายได้อย่างสะดวก รวดเร็ว มีคุณภาพ และประหยัดทรัพยากร รวมทั้งเวลา ดีกว่าการจัดการเรียนการสอนที่ขาดระบบ เพราะจะทำให้เกิดความสับสน เพราะไม่ทราบจุดมุ่งหมายชัดเจนและ ไม่สามารถควบคุมการดำเนินงานได้

 3) ช่วยให้ครูทราบปัญหาและหาแนวทางในการแก้ปัญหาการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม  เพราะมีระบบควบคุมกระบวนการดำเนินการทำให้ทราบว่าผลการเรียนรู้ของนักเรียนเกิดจากปัญหาการ ดำเนินงานในส่วนใด เพื่อหาทางแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

 4) ช่วยให้ครูได้นำผลการประเมิน และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ไปใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุง การเรียนการสอนให้มีคุณภาพดีขึ้น

  5) การน าวิธีการเชิงระบบไปใช้ในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ทาง การศึกษาต่าง ๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีคุณภาพ เป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้อย่าง กว้างขวาง  

💨 ข้อจำกัดของการใช้ระบบการเรียนการสอน 💨
 1) การน าแนวคิดระบบและวิธีการเชิงระบบมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนนั้นมี ค่าใช้จ่ายสูง และใช้ระยะเวลาในการดำเนินการนานกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ตามขั้นตอนการดำเนินงานที่ กำหนด แม้ว่าจะมีคุณค่า จึงไม่เหมาะกับการพัฒนาการเรียนการสอนที่ทำในระบบที่ต้องการการปรับตัว อย่างรวดเร็ว เช่น การออกแบบสื่อคอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์ที่ต้องมีการปรับตัวตามความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 2) ระบบการเรียนการสอนแบบเดิมมีความซับซ้อน ยุ่งยาก เพราะ เน้นการรวบรวมข้อมูลเชิง ประจักษ์มากมายเกินความจำเป็น เนื่องจากเน้นคุณภาพของผลผลิต เป็นสำคัญ จึงเป็นกระบวนการที่ไม่ เหมาะสมในการปฏิบัติจริงในระบบเล็ก ๆ เช่นการพัฒนาการเรียนการสอนของครูในห้องเรียน

 3) ระบบการเรียนการสอนที่กำหนดไว้ตายตัว ไม่สอดคล้องกับบริบทที่มีเงื่อนไขแตกต่างกัน การพัฒนาการเรียนการสอน ควรเริ่มต้นจากความเป็นไปได้ ณ จุดเริ่มต้นใดก็ได้ ตามเงื่อนไขของเวลา และทรัพยากรที่มีอยู่ และค่อย ๆ ปรับปรุงกระบวนการไปตามบริบทและเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไป

💨แบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนทั่วไป💨
          ออกแบบการเรียนการสอนนำความรู้หลายวิชามาประยุกต์รวมกันเป็นขั้นตอนกระบวนการเชิงระบบเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน โดยพื้นฐานแล้ววิธีกำหนดเชิงระบบต้องระบุว่า จะเรียนอะรวางแผนการสอนอย่างไร วัดผลการเรียนรู้เพื่อตัดสินว่าการเรียนรู้นั้นบรรลุตามจุดประสงค์หรือไม่และกลั่นกรองตัวสอดแทรกจนกระทั่งบรรลุจุดประสงค์ จากลักษณะนี้จึงทำให้เกิดแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนทั่วไป
แบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนทั่วไปมีความง่ายในการใช้มากแต่ต้องใช้ด้วยความปราณีต และปรับปรุงอยู่เสมออย่างไรก็ตามแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนโดยทั่วไปได้จัดเตีรยมแนะนำขั้นตอนในกระบวนการออกแบบไว้อย่างดีซึ่งหมายถึงเป็นกระบวนการเชิงระบบประกอบด้วยขั้นตอนเหล่านี้ 1.การวิเคราะห์(analysis) 2.การออกแบบ(design) 3.การพัฒนา(development) 4.การนำไปใช้(implementation) 5.การประเมินผล(evaluation)

💨บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอน💨
  บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นำเสนอว่าต้องอาศัยเทคนิคหรือไม่ต้องอาศัยเทคนิคและอยู่กับส่วนประกอบของทีมการออกแบบ เนื้อหาที่ต้องใช้เทคนิคสูง ผู้ออกแบบจำเป้นต้องให้คำแนะนำในการออกแบบกับผู้ชำนาญการทางเนื้อหาถ้เานื้อหานั้นไม่ต้องใช้เทคนิคสูงเกินไปผู้ออกแบบก็จัดทำได้อย่างอิสระมากขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากผู้ชำนาญการ ผู้ออกแบบสามารถทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาภายนอกและรับผิดชอบงานทั้งหมดเหมือนกับเป้นคนในสำนักงาน บทบาทของผู้ออกแบบมีหลากหลายขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับผู้ชำนาญการทางด้านเนื้อหา
ดังตัวอย่างทั้ง3
1.ผุ้ชำนาญการทางด้านเนื้อหาและมีสมรรถภาพในการออกแบบการเรียนการสอนและเทคโนโลยี และเป็นผู้ที่รับรู้บทบาทการออกแบบด้ยไม่จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือด้านความรู้ ความชำนาญทางเนื้อหาวิชา
2.ผู้ออกแบบการเรียนการสอนที่ได้รับการข้อร้องให้ทำงานในด้านเนื้อหาที่อาจจะีความคุ้นเคยแต่ผู้ออกแบบยังคงรุ้สึกมีคามจำเป็นที่จะทำงานกับผู้ชำนาญการทางด้านเนื้อหา
3.ผู้ออกแบบอาจจะได้รับการร้องขอให้พัฒนาหรือวิจัยในด้านเื้อหาที่ไม่มีความคุ้นเคยและดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกและทำงานกับผู้ชำนาญการทางด้านเนื้อหา
💨งานและผลผลติของการออกแบบการเรียนการสอน💨
     งานขอผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนอาจจะหลากหลายในความต้องการด้านความรู้ความชำนาญ ผลิตผลที่ได้สถานการณ์ของงาน ผู้ปฏิบัติอาจจะวิเคราะห์ภาระงานภายใต้การนิเทศของผู้จัดการโคงการในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา การออกแบบไม่จำเป็นต้อวเป็นทีมเสมอไปในองค์กรเล้กๆอาจจะใช้ผู้ออกแบบคนเดียวในการทำภาระการออกแบบการเรียนการสอน
    งานออกแบบ พิสัยของงานเป็นไปตามสถานการณ์และระดับที่แกต่างกัของผู้ชำนาญการ บางครั้งผู้ออกแบบทำหน้าที่แบบผู้ชำนาญการ ในบางงานเรียกผู้ออกแบบว่าเป็นผู้ปฏิบัติที่มีสมรรถภาพในการดำเนินโครงงาน พิสัยของงานไม่เพียงเกี่ยวกับหน้าที่มีความเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษแต่บางงานต้องการระดับความแตกต่างของผู้ชำนาญการ
    ผลิตผลของงานออกแบบ ไม่ว่าการตั้งสมมุติฐานไว้หรืองานหน้าที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายของผลิตผลก็ตาม จะมีขอบเขตที่แตกต่างกัน งานออกแบบก็เช่นกันขอบเขตรวมถึงความแตกต่างทางด้านเนื้อหาของขนาดและเนื้อหาความซับซ้อนรวมถึงความแตกต่างของหลักสูตร ในระดับเล็กสุดของขอบเขตคือ แผนการสอน ระดับต่อไปคือวิชาและหน่วย
💨สมรรถภาพของผู้ออกแบบการเรียนการสอน💨
    การออกแบบการเรียนการสอนเป็นกระบวนการเชาว์ปัญญาที่ต้องใช้ความคิดระดับสูงในการปฏิบัตินั้นจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับทักษะและความถนัดจนการฝึกอบรมและการศึกษาวอลลิงตันได้ให้รายละเอียดในการปฏิบัติการสอนเป็นระหว่างบุคคล ทักษะสื่อสาร ทักษะการแก้ปัญหา และทักษะการสกัดและดูดซึมสารสนเทศและสิ่งเหล่านั้นอยูในกรอบความคิดมีเหตุผล
   ความถนัดของบุลคล การออกแบบการเรียนการสอนต้องอาศัยความถนัดของบุคคลด้วย ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถในการคิดเชิงรุปธรรมและนามธรรม ตรวจสอบความคิดที่ีเหตูผล คงเส้นคงวา อย่างไรก็ตามนักออกแบบต้องให้คามสนใจกับรายละเอียดอย่างเต็มที่โดยตลอดเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพ

💦รูปแบบการสอน (IM : Instructional Model)💦

รูปแบบการสอน หรือรูปแบบการเรียนการสอน (IM : Instructional Model) หมายถึง
แนวทาง กระบวนการ หรือกลยุทธ์ในการนำเสนอเนื้อหาและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามขั้นตอนและวิธีการที่มีผู้เชี่ยวชาญคิดค้นขึ้น ซึ่งสังเคราะห์มาจากหลักการศึกษาและเงื่อนไขการเรียนรู้
รูปแบบการสอนมีจำนวนมากมาย แต่รูปแบบการสอนที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายและได้มีการนำไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบการเรียนการสอน อันได้แก่ บทเรียน ระบบการสอน และบทเรียนสำเร็จรูป รวมทั้งบทเรียนคอมพิวเตอร์มีดังต่อไปนี้
1. รูปแบบการสอน ADDIE (ADDIE Model)
2. รูปแบบการสอนของดิค แอนด์แคเรย์(Dick and Carey Model)
3. รูปแบบการสอนของเกอลาช แอนด์เอลี(Gerlach and Ely Model)
4. รูปแบบการสอนของเนิร์ค แอนด์กุสตาฟซัน (Knirk and Gustafson Model)
5. รูปแบบการสอนของเจอโรลด์เคมป์ (Jerrold Kemp Model)
6. รูปแบบการสอนของแฮนนาฟิน แอนด์เพ็ค (Hannafin and Peck Model)
7. รูปแบบการสอนของบราวน์และคณะ (Brown and Others Model)
8. รูปแบบการสอน Rapid Prototying Model


                                       💥รูปแบบการสอน ADDIE (ADDIE Model)💥
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ addie model
    ADDIE เป็นรูปแบบการสอนที่ออกแบบขึ้นมา เพื่อใช้ในการออกแบบและพัฒนาระบบการเรียนการสอน โดยอาศัยหลักของวิธีการระบบ (System Approach) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าสามารถนำไปใช้ออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น CAI/CBT, WBI/WBT หรือ e-Learning ก็ตาม เนื่องจากเป็นขั้นตอนที่ครอบคลุมกระบวนการทั้งหมดและเป็นระบบปิด (Closed System) โดยพิจารณาจากผลลัพธ์ในขั้นประเมินผลซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายแล้วนำข้อมูลไปตรวจปรับ (Feedback) ขั้นตอนที่ผ่านมาทั้งหมด
ADDIE มาจากตัวอักษรตัวแรกของขั้นตอนต่าง ๆ จำนวน 5 ขั้น ได้แก่ Analysis, Design,Development, Implementation และ Evaluation

รูปแบบการสอน ADDIE ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนดังนี้

1. การวิเคราะห์ (A : Analysis)
2. การออกแบบ (D : Design)
3. การพัฒนา (D : Development)
4. การทดลองใช้ (I : Implementation)
5. การประเมินผล (E : Evaluation)

รายละเอียดแต่ละขั้นตอนมีดังนี้
1. การวิเคราะห์ (A : Analysis) เป็นขั้นตอนแรกของรูปแบบการสอน ADDIE ซึ่งมี
ความสำคัญยิ่งเนื่องจากเป็นขั้นตอนที่ส่งผลไปยังขั้นตอนอื่นๆ ทั้งระบบ ถ้าการวิเคราะห์ไม่ละเอียดเพียงพอ จะทำให้ขั้นตอนต่อไปขาดความสมบูรณ์ ในขั้นตอนนี้จึงใช้เวลาดำเนิน การ
ค่อนข้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับขั้นตอนอื่น ๆ โดยจะต้องพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่
คุณลักษณะของผู้เรียนวัตถุประสงค์ ความรู้ ทักษะ และพฤติกรรมที่คาดหวังปริมาณและความลึกของเนื้อหา และแหล่งข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งประกอบด้วยการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้
   1.1 ประเมินความต้องการและผู้เรียน (Assess Needs and Audience)
   1.2 กำหนดเนื้อหาทั้งหมดและเป้าหมาย (Determine Overall Content and Goals)
   1.3 ระบุระบบนิพนธ์และระบบการนำส่งบทเรียน (Specify Authoring and Delivery
Systems)
   1.4 วางแผนขอบเขตของโครงการทั้งหมด (Plan Overall Project Scope)
   1.5 วางแผนกลยุทธ์การประเมินผลทั้งหมด (Plan Overall Evaluation Strategies)
ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนการวิเคราะห์ มีดังนี้
   1) รายงานผลการประเมินความต้องการ (Needs Assessment Report)
   2) คุณลักษณะของผู้เรียน (Learner Profile)
   3) โครงร่างของเนื้อหา (Content Outline)
   4) ขั้นตอนการเรียนรู้ (Learning Hierarchy)
   5) วิธีการออกแบบ (Design Approach)
   6) ข้อกำหนดทางเทคนิค (Technical Specifications)
   7) กลยุทธ์การประเมินผล (Evaluation Strategies)
   8) ตารางเวลาของโครงการ (Project Timetable)

บุคลากรที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนนี้ ได้แก่ ผู้บริหารโครงการ ผู้จัดการโครงการ ผู้ออกแบบระบบการสอน ผู้ประเมินโครงการ โปรแกรมเมอร์และผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ

2. การออกแบบ (D : Design) เป็นขั้นตอนที่ดำเนินการต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่
ตั้งไว้ โดยออกแบบบทเรียนตามกลยุทธ์ที่ได้จากขั้นตอนการวิเคราะห์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น การทำงานด้านเอกสารเช่นกัน โดยจะต้องพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ วัตถุประสงค์ของบทเรียน การเรียงเนื้อหา ลำดับ วิธีการนำเสนอเนื้อหา การเลือกใช้สื่อ และการนำเสนอแบบทดสอบ เป็นต้น ซึ่งประกอบด้วยการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้
2.1 เขียนวัตถุประสงค์แต่ละหน่วย (Write Objectives by Unit)
2.2 ระบุการปฏิสัมพันธ์ของบทเรียน (Specify Instructional Interactions)
2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผล (Conduct Performance Test)
2.4 ออกแบบหน้าจอและกราฟิก (Screen Design and Graphic)
2.5 ออกแบบเทมเพลทของบทเรียน (Screen Templates Design)
2.6 เขียนผังงานบทเรียน (Write Lesson Flowcharts)
2.7 เขียนบทดำเนินเรื่อง (Storyboarding)
2.8 สร้างบทเรียนต้นแบบ (Prototyping)
ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนการออกแบบ มีดังนี้
1) วัตถุประสงค์ของบทเรียน (Objectives)
2) เนื้อหาบทเรียนที่ออกแบบ (Design Document)
3) แบบฝึกหัดและแบบทดสอบวัดผล (Exercises and Performance Test)
4) ต้นแบบของการเรียนการสอน (Instructional Archetypes)
5) ผังงานบทเรียน (Lesson Flowcharts)
6) บทดำเนินเรื่อง (Storyboard)
7) บทเรียนต้นแบบ (Prototype)

บุคลากรที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนนี้ ได้แก่ ผู้จัดการโครงการ ผู้ออกแบบระบบการสอนผู้ประเมินโครงการ โปรแกรมเมอร์ ผู้ออกแบบกราฟิก และผู้ผลิตบทเรียน

3. การพัฒนา (D : Development) เป็นขั้นตอนที่นำผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนการออกแบบมาดำเนินการต่อเป็น การลงมือปฏิบัติจริงเพื่อพัฒนาเป็นบทเรียนตามแผนการที่วิเคราะห์ไว้ตั้งแต่ขั้นตอนแรก โดยใช้ระบบนิพนธ์หรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งบทเรียนต้นแบบพร้อมจะนำไปทดลองใช้ในขั้นต่อไป ซึ่งประกอบด้วยการดำเนิน การต่า ง ๆ ดังนี้
3.1 เตรียมวัสดุประกอบบทเรียน (Preparing Adjunct Materials)
3.2 เขียนบทเรียน (Writing/Authoring) ในขั้นนี้ประกอบด้วย การสร้างสรรค์กราฟิก
(Creating Graphics) การสร้างการปฏิสัมพันธ์บทเรียน และการสร้างบทเรียนพร้อมแบบทดสอบ
3.3 ดำเนินการผลิต (Conduct Production) ในขั้นนี้ประกอบด้วย การผลิตขั้นต้น
(Preproduction) การผลิตจริง (Production) และการดำเนินการหลังการผลิต (Postproduction)
3.4 รวมสื่อทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นบทเรียนและเขียนโปรแกรมจัดการ (Integrating
Media and Coding)
ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนการพัฒนามีดังนี้
1) วัสดุประกอบการเรียน (Adjunct Materials)
2) ตัวบทเรียน ประกอบด้วยข้อความ กราฟกิ ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดีทัศน์ และ
การปฏิสัมพันธ์ รวมทั้งเอกสารประกอบบทเรียน
3) โปรแกรมการจัดการบทเรียน

บุคลากรที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนนี้ ได้แก่ ผู้จัดการโครงการ ผู้ออกแบบระบบการสอน
ผู้ประเมินโครงการ โปรแกรมเมอร์ ผู้ออกแบบกราฟิก และผู้ผลิตบทเรียน

4. การทดลองใช้ (I : Implementation) เป็นการนำบทเรียนที่พัฒนาขึ้น เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายตามวิธีการที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ประกอบด้วยการดำเนินการต่างๆ ดังนี้
4.1 ติดตั้งบทเรียน (Installation)
4.2 จัดตารางเวลาพร้อมปรับหลักสูตร (Scheduling and Syllabus Adjustment)
4.3 ลงทะเบียนเรียนและบริหารบทเรียน (Enrollment and Administration)
4.4 ปฐมนิเทศผู้เรียน (Orientation)
4.5 วางแผนการสนับสนุนจากผู้สอน (Instructor Plans Facilitation)
4.6 จัดสิ่งสนับสนุนบทเรียน (Facilitation of Course)
ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนการทดลองใช้ มีดังนี้
1) บัญชีรายชื่อชั้นเรียน (Class Roster)
2) การเรียนการสอน (Instructional)
3) แผนการสนับสนุน จากผู้สอน (Instructor’s Facilitation Plan)
บุคลากรที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนนี้ ได้แก่ ผู้สอน ผู้เรียน ผู้บริหารหลักสูตร และฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิค

5. การประเมินผล (E : Evaluation) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของรูปแบบการสอน ADDIE
เพื่อประเมินผลบทเรียนและนำผลที่ได้ไปปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ได้บทเรียนที่มีคุณภาพ ประกอบด้วยการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้
5.1 จัดทำเอกสารโครงการ (Documenting Project)
5.2 ทดสอบบทเรียน (Testing)
5.3 ปรับบทเรียนให้ใช้งานได้ (Validation)
5.4 ประเมินผลกระทบ (Conducting Impact Evaluation)
ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนการประเมินผล มีดัง นี้
1) เอกสารโครงการ (Documentation) ได้แก่บันทึกข้อมูลด้านเวลา (Record Time
Data) รายงานผู้ใช้บทเรียนและผู้ควบคุม (Trainees and Supervisors Report) และ ผลสรุปของ
ข้อคำถามบทเรียน (Course Review Question Results) เป็นต้น
2) คุณภาพของบทเรียน (Quality) ได้แก่ประสิทธิภาพ (Efficiency) ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของผู้เรียน (Effectiveness) และความพึงพอใจ (Satisfaction) เป็นต้น
3) รายงานผลกระทบของบทเรียน (Impact Evaluation Report)
บุคลากรที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนนี้ ได้แก่ ผู้จัดการโครงการ ผู้ออกแบบระบบการสอน
ผู้ประเมินโครงการ โปรแกรมเมอร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ


                            💥รูปแบบการสอนของดิค แอนด์แคเรย์(Dick and Carey Model)💥
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดิค แอนด์แคเรย์
          ดิค แอนด์ แคเรย์ (Dick and Carey) ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง โดย
อาศัยวิธีการระบบเช่นเดียวกันกับรูปแบบ ADDIE ซึ่งเป็นรูปแบบที่ง่าย แต่ก็ได้รับการยอมรับว่า
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ได้ดี รูปแบบการสอนของดิค แอนด์แคเรย์เริ่มเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปีคศ. 1990 หลังจากนั้น เมื่อปี คศ. 1996 ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่โดยมีรายละเอียดมากขึ้น

            รูปแบบการสอนของดิค แอนด์แคเรย์(1990) ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนดังนี้    
1. การประเมินและการวิเคราะห์ (Assessment & Analysis) ประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้
  1.1 การประเมินความต้องการ (Need Assessment)
  1.2 การวิเคราะห์ส่วนหน้า (Front-end Analysis)
2. การออกแบบ (Design)
3. การพัฒนา (Development)
4. การทดลองใช้ (Implementation)
5. การประเมินผล (Evaluation)

รูปแบบการสอนของดิค แอนด์แคเรย์(1990) พัฒนามาจากวิธีการระบบ โดยมีส่วนคล้าย
กับรูปแบบการสอน ADDIE แตกต่างกันเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น ซึ่งก็คือ การประเมินและการ
วิเคราะห์ ซึ่ง ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนย่อย ๆ ได้แก่ การประเมินความต้องการ และการวิเคราะห์
ส่วนหน้า สำหรับการประเมินความต้องการ จะเป็นการพิจารณาความต้องการของผู้เรียน
เป้าหมายของการ เรียนรู้ และข้อจำกัดต่าง ๆ รวมทั้งส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนการวิเคราะห์ส่วนหน้า จะเป็นการพิจารณาสถานการณ์การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ การวิเคราะห์สื่อ และส่วนอื่นๆ สำหรับ ขั้นตอนที่ 2 ถึง ขั้นตอนสุด ท้าย จะมีรายละเอียดคล้ายกับรูปแบบการสอน ADDIE
รูปแบบการสอนของดิค แอนด์ แคเรย์ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ในปี คศ. 1996 โดยมี
รายละเอียดมากขึ้น ซึ่งพบว่ารูปแบบการสอนในปี คศ.1996 ได้รับความนิยมมากกว่า ประกอบ
ด้วย 10 ขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การแยกแยะเป้าหมายการเรียนการสอน และสิ้นสุดที่ขั้นตอนของการ
พัฒนาและสรุปการประเมิน ตามรายละเอียดดังนี้
1. แยกแยะเป้าหมายของการเรียน (Identify Instructional Goals) ขั้น ตอนแรกเป็นการ
แยกแยะเป้าหมายของบทเรียนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามที่ต้องการ เป้าหมายของการเรียนในส่วนนี้จะเกิดจากการวิเคราะห์ความต้องการ (Need Analysis) ก่อน แล้วจึงกำหนดเป้าหมายของการเรียน โดยพิจารณาจากส่วนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
 1.1 รายละเอียดของเป้าหมายของการเรียนที่มีอยู่
  1.2 ผลจากการวิเคราะห์ความต้องการ
  1.3 ข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่าง ๆ ในการเรียน
  1.4 ผลจากการวิเคราะห์ผู้เรียนคนอื่นๆ ที่เรียนจบแล้ว

2. วิเคราะห์การเรียน (Conduct Instructional Analysis) หลังจากได้เป้าหมายของการ
เรียนแล้ว ขั้นต่อไปจะเป็นการวิเคราะห์เนื้อหาบทเรียนและวิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อตัดสินว่าความรู้และทักษะใดที่จะทำให้ผู้เรียนบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดั้ง นี้
2.1 กำหนดสมรรถนะของผู้เรียนหลัง จากที่เรียนจบแล้ว
2.2 กำหนดขั้นตอนการนำเสนอบทเรียน

3. กำหนดพฤติกรรมของผู้เรียนที่จะเข้าเรียน (Identify Entry Behaviors) เป็นขั้นตอนที่จะพิจารณาว่าพฤติกรรมใดที่จำเป็น ของผู้เรียนก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเรียนการสอน ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
3.1 การกำหนดความรู้พื้นฐานและทักษะที่จำเป็น สำหรับ ผู้เรียน
3.2 คุณลักษณะที่สำคัญของผู้เรียน ในการดำเนินกิจกรรมทางการเรียนของบทเรียน

4. เขียนวัตถุประสงค์ของการกระทำ (Write Performance Objectives) ในที่นี้ก็คือการ
เขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สามารถวัดได้หรือสังเกตได้ของบทเรียนแต่ละหน่วย ซึ่งผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของงานหรือภารกิจหลังจากสิ้นสุดบทเรียนแล้ว โดยนำผลลัพธ์ที่ได้จาก 3ขั้นตอนแรกมาพิจารณา ซึ่งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมจะประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
4.1 งานหรือภารกิจ (Task) ที่ผู้เรียนแสดงออกในรูปของการกระทำหลังจบบทเรียน
แล้ว ซึ่งสามารถวัดหรือสังเกตได้
4.2 เงื่อนไข (Condition) ประกอบงานหรือภารกิจนั้น ๆ
4.3 เกณฑ์ (Criterion) ของงานหรือภารกิจของผู้เรียนที่กระทำได้

5. พัฒนาเกณฑ์อ้างอิงเพื่อใช้ทดสอบ (Develop Criterion Reference Tests) เป็นการ
กำหนดเกณฑ์มาตรฐานของบทเรียนที่ผู้เรียนจะต้องทำได้หลังจากจบบทเรียนแล้ว ในที่นี้ก็คือเกณฑ์ที่ใช้วัดผลจากแบบฝึกหัดหรือ แบบทดสอบต่างๆ ที่ใช้ในบทเรียน

6. พัฒนากลยุทธ์ด้านการเรียนการสอน (Develop Instructional Strategy) เป็นการ
ออกแบบและพัฒนารายละเอียดต่าง ๆ ของบทเรียน ให้สอดคล้องตามวัตถุป ระสงค์ที่กำหนดไว้รวมทั้งการพิจารณารูปแบบการนำเสนอบทเรียนด้วย เช่น ระบบเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative System) ระบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered System) หรือ ระบบผู้สอนเป็นผู้นำ(Instructor-led System) เป็นต้น ซึ่ง ผลลัพธ์ของกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นในขั้นตอนนี้จะอยู่ในรูปของบทดำเนินเรื่อง (Storyboard) ของบทเรียน ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
6.1 การนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
6.2 กิจกรรมการเรียนการสอน
6.3 แบบฝึกหัดและการตรวจปรับ
6.4 การทดสอบ
6.5 การติดตามผลกิจกรรมการเรียนการสอน

7. พัฒนาและเลือกวัสดุการเรียนการสอน (Develop & Select Instructional Materials)
เป็นขั้นตอนของการพัฒนาบทเรียนจากบทดำเนิน เรื่องในขั้น ตอนที่ผ่านมา รวมทั้งการเลือกใช้วัสดุการเรียนที่สอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของบทเรียน ได้แก่ สื่อการเรียนทั้งที่มีอยู่เดิมหรือสื่อที่ต้องสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนนี้ มีดังนี้
7.1 คู่มือการใช้บทเรียนของผู้เรียนและผู้สอน
7.2 บทเรียนที่พัฒนาขึ้น ซึ่งอยู่ในรูปแบบต่างๆ ดัง นี้
  7.2.1 ระบบสนับสนุนการกระทำด้วยอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EPSS (Electronic
Performance Support Systems)
  7.2.2 บทเรียนสำหรับผู้สอน ในกรณีที่เป็นระบบผู้สอนเป็นผู้นำ
  7.2.3 บทเรียนคอมพิวเตอร์แบบใช้งานโดยลำพัง เช่น CAI, CBT
  7.2.4 บทเรียนคอมพิวเตอร์แบบใช้งานบนเครือข่าย เช่น WBI, WBT
  7.2.5 e-Learning

8. พัฒนาและดำเนินการประเมินผลระหว่างดำเนินการ (Develop & Conduct Formative Evaluation) เป็นการประเมินผลการดำเนินการของกระบวนการออกแบบบทเรียนทั้งหมด เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงบทเรียนให้มีคุณภาพดีขึ้น ในขั้นตอนนี้ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนย่อย ดังนี้
8.1 การประเมินผลแบบตัวต่อตัว (One-to-One Evaluation)
8.2 การประเมินผลแบบกลุ่มย่อย (Small-Group Evaluation)
8.3 การประเมินผลภาคสนาม (Field Evaluation)

9. พัฒนาและดำเนินการประเมินผลสรุป (Develop & Conduct Summative Evaluation) เป็นการประเมินผลสรุปเกี่ยวกับบทเรียนที่พัฒนาขึ้น ได้แก่ การหาคุณภาพและประสิทธิภาพของบทเรียนซึ่ง จำแนกออกเป็น2 ระยะ ดังนี้
9.1 การประเมินผลระยะสั้น (Short Period Evaluation)
9.1 การประเมินผลระยะยาว (Long Period Evaluation)

10. ปรับปรุงการเรียนการสอน (Revise Instruction) เป็นการปรับปรุงและแก้ไขบทเรียนที่พัฒนาขึ้น ได้แก่ เนื้อหา การสื่อความหมาย การพัฒนากลยุทธ์ การทดสอบ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และส่วนประกอบต่าง ๆ ขอบทเรียน โดยพิจารณาจากผลลัพธ์ที่ได้


                            💥รูปแบบการสอนของเกอลาช แอนด์เอลี (Gerlach and Ely Model)💥
         รูปแบบการสอนของเกอลาช แอนด์ เอลี (Gerlach and Ely) ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้
สำหรับผู้เรียนตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงระดับ K-12ในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี คศ. 1980 แต่ก็ใช้ได้ผลดีสำหรับการศึกษาในระดับสูงกว่า เนื่องจากรูปแบบนี้ได้พิจารณาการกำหนดเวลาและเนื้อหาด้วย ประกอบด้วย 10 ขั้นตอน ดังนี้
1. รายละเอียดของเนื้อหา (Specification of Content) เป็นการพิจารณารายละเอียดของ
เนื้อหาบทเรียนทั้งหมดที่จะนำมาสร้างเป็นบทเรียน

2. รายละเอียดของวัตถุประสงค์ (Specification of Objectives) เป็นการพิจารณา
รายละเอียดของวัตถุประสงค์ ซึ่งทั้งวัตถุประสงค์และเนื้อหาบทเรียนจะต้องมีความสัมพันธ์และสอดคล้องกัน จึงอาจจะพิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งก่อนก็ได้หรืออาจจะพิจารณาพร้อม ๆ กันก็ได้ถ้ามีวัตถุประสงค์อยู่แล้ว ก็จะเป็นการพิจารณาความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับเนื้อหาบทเรียนแต่ถ้ายังขาดส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็จะต้องวิเคราะห์ขึ้นใหม่ เพื่อให้วัตถุประสงค์สัมพันธ์และสอดคล้องกับเนื้อหาบทเรียน เพื่อจะได้นำไปใช้ในขั้นต่อไป ในส่วนนี้ เกอลาช แอนด์เอลีได้แบ่งวัตถุประสงค์ออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
2.1 วัตถุประสงค์ระยะยาว (Long Range Objective) หมายถึง วัตถุประสงค์ทั่ว ไป
2.2 วัตถุประสงค์ระยะสั้น (Short Range Objective) หมายถึง วัตถุประสงค์เฉพาะ

3. การประเมินพฤติกรรมของผู้เรียน (Assessment of Entering Behaviors) หมายถึง
กระบวนการประเมินความรู้พื้น ฐานของผู้เรียนให้ผ่านตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่จะยอมรับได้ ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการเรียนการสอน การพิจารณาพฤติกรรมของผู้เรียน สามารถดำเนินการได้ดังนี้
3.1 การใช้บันทึกข้อมูลที่มีอยู่ (Use of Available Records) ได้แก่หลักฐานทางการ
ศึกษาวุฒิบัตร ประกาศนียบัตร และเอกสารอื่นๆ ที่อ้างอิงถึงความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ของผู้เรียน

3.2 แบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างขึ้น (Teacher-designed Test) ได้แก่ แบบทดสอบ แบบ
ประเมิน แบบสัมภาษณ์ หรือ แบบสอบถาม ที่ผู้สอนสร้างขึ้น เพื่อใช้ประเมินความรู้ความสามารถของผู้เรียนในประเด็นที่ต้องการ เพื่อจะได้ทราบเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของผู้เรียน

4. กำหนดกลยุทธ์และเทคนิคการสอน (Determination of Strategy and Techniques)
เป็นการกำหนดกลยุทธ์ในการนำเสนอบทเรียน รวมทั้งใช้เทคนิค ต่าง ๆ ในการนำเสนอ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ แบ่งออกได้ 2 วิธีการใหญ่ๆดังนี้
4.1 การบรรยาย (Expository Approach) เป็นวิธีการสอนแบบดั้งเดิมที่ผู้สอนมัก จะใช้
ตำรา หนังสือ สื่อ และประสบการณ์เช่น นำเสนอกับผู้เรียนกลุ่มใหญ่โดยการบรรยายหรือการ
อภิปราย โดยใช้วิธีการบรรยายโดยตรงหรือใช้วีดิทัศน์ถ่ายทอดการบรรยายระยะไกล
4.2 วิธีการสืบเสาะแสวงหาความรู้ (Inquiry Approach) วิธีการนี้บทบาทของผู้สอนจะ
ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยการใช้คำถามหรือสร้างเงื่อนไขให้ผู้เรียนได้เสาะแสวงหาคำตอบในการแก้ปัญหา โดยใช้ตำรา หนังสือ สื่อ หรือแหล่งความรู้อื่น ๆผู้เรียนจะต้องพยายามรวบรวมและจัดระบบข้อมูลด้วยตัวเอง (Active Participations) เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสรุปที่นำไปใช้ในการเรียนการสอนได้

5. การจัดผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม (Organization of Students into Groups) เป็นการจัดแบ่ง
ผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามขนาดที่เหมาะสม โดยการเรียนร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรือโดยการ
บรรยายเป็นกลุ่มใหญ่หรือจัดเป็นรายบุคคลระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเท่านั้น ซึ่งควรจะพิจารณา
วัตถุประสงค์ เนื้อหา วิธีการเรียน และการจัดกลุ่มผู้เรียนไปพร้อม ๆ กัน

6. การกำหนดเวลา (Allocation of Time) เป็นการกำหนดเวลาเรียนของบทเรียน โดย
พิจารณาจากเนื้อหาวิชา วัตถุประสงค์ กิจกรรมการเรียน การบริหาร ความสามารถ และความ
สนใจของผู้เรียน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะนำมาใช้ในการพิจารณาแบ่งเวลาและกำหนดเวลาเรียนให้
เหมาะสม

7. การกำหนดสถานที่เรียน (Allocation of Space) เป็นการจัดสถานที่เรียน ซึ่งขึ้นอยู่กับ
ขนาดของกลุ่มผู้เรียน และวิธีการเรียน ตามรูปแบบการสอนของเกอลาช แอนด์เอลีได้แบ่งขนาด
ของห้องเรียนออกได้3 ขนาด ดังนี้
7.1 ห้องเรียนสำหรับผู้เรียนกลุ่มใหญ่
7.2 ห้องเรียนสำหรับผู้เรียนกลุ่มเล็ก
7.3 ห้องเรียนสำหรับรายบุคคล

8. การเลือกแหล่งข้อมูล (Selection of Resources) เป็นการเลือกแหล่งข้อมูลที่ใช้ใน บทเรียน ได้แก่วัสดุการเรียน (Instructional Materials) และวัสดุสนับสนุนกิจกรรมการเรียน เช่นสื่อต่างๆ ทั้งที่มีอยู่และสื่อที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ ซึ่ง แบ่งออกเป็น 5 ประเภทดังนี้
8.1 วัสดุของจริงและบุคคล (Real Materials and People)
8.2 วัสดุทัศน์สำหรับฉาย (Visual Materials for Projection)
8.3 วัสดุเสียง (Audio Materials)
8.4 วัสดุสิ่งพิมพ์ (Printed Materials)
8.5 วัสดุสำหรับแสดง (Display Materials)

9. การประเมินผลการเรียนรู้ (Evaluation of Performance) ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินผล
พฤติกรรมของผู้เรียนที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนหรือระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนคนอื่น ๆ หรือระหว่างผู้เรียนกับบทเรียน เป็นต้น เพื่อสรุปการประเมินผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้

10. การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนกลับ (Analysis of Feedback) เป็นการวิเคราะห์ผลที่ได้จาก
การประเมินผลการเรียนรู้ในขั้นตอนที่ผ่านมา รวมถึงการใช้บทเรียนทั่ว ๆ ไป หลังจากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้ย้อนกลับไปปรับปรุง แก้ไขบทเรียนตั้ง แต่ขั้นตอนแรก เพื่อให้บทเรียนมีคุณภาพดียิ่งขึ้นสามารถนำไปใช้กับกลุ่มผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ


💥รูปแบบการสอนของเนิร์ค แอนด์กุสตาฟซัน (Knirk and Gustafson Model)💥
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Knirk and Gustafson Model
        เนิร์ค แอนด์ กุสตาฟสัน (Knirk and Gustafson)ได้พัฒนารูปแบบการสอน ขึ้นในปี คศ.
1986 เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบบทเรียน ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนใหญ่และ 11 ขั้นตอนย่อย
ดังนี้
1. การแยกแยะปัญหา (Identify Problems) เป็นขั้นตอนแรกของขั้นตอนของการกำหนด
ปัญหา (Problem Determination) ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
1.1 การประเมินความต้องการ (Needs Assessment) เพื่อประเมินความต้องการการ
เรียนการสอนของผู้เรียน
1.2 การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task Analysis) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมขั้นสุดท้าย
ของผู้เรียนที่จะต้องแสดงออก หลังจากได้ศึกษาบทเรียนแล้ว

2. ระดับทักษะก่อนการเรียนของผู้เรียน (Learner’s Entry Level Skills) เป็นขั้นตอนที่
สองของการกำหนดปัญหา ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
2.1 การกำหนดระดับทักษะของผู้เรียน เพื่อพิจารณาระดับความรู้ ทักษะ และเจตคติ
ของผู้เรียนก่อนที่จะศึกษาบทเรียน
2.2 การแยกแยะเป้าหมายทั่วไปของบทเรียน

3. เป้าหมายการเรียนการสอน (Instructional Goals) ในขั้นตอนนี้ ผู้ออกแบบระบบการ
สอน จะทำการรวบรวมผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนที่ผ่านมา เพื่อกำหนดเป้าหมายของการเรียนการสอน ซึ่งอาจจะดำเนินการพร้อม ๆ กับขั้นตอนที่ผ่านมาก็ได้

4. การรวบรวมส่วนต่าง ๆ (Organize) ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
  4.1 การวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว
  4.2 การรวบรวมบุคลากรที่เกี่ยวข้องและหาช่องทางในการติดต่อสื่อสาร
  4.3 การประสานงานทางด้านงบประมาณและระยะเวลาของการพัฒนาบทเรียน
  4.4 การประเมินผล ได้แก่บุคลากร การดำเนินการ และบทเรียน เป็นต้น
  4.5 การรายงานผล

5. การพัฒนาวัตถุประสงค์ (Develop Objectives) เป็นขั้นตอนแรกของขั้นตอนของการ
ออกแบบ (Design) เพื่อพัฒนาวัตถุประสงค์ของบทเรียน ตามรูปแบบการสอนของเนิร์ค แอนด์ กุสตาฟซัน กำหนดไว้ว่าวัตถุประสงค์ของบทเรียนมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัยและเจตพิสัย

6. การระบุกลยุทธ์ (Specify Strategies) เป็นขั้นตอนที่สองของขั้นตอนของการออกแบบ เพื่อออกแบบกลยุทธ์ทางการเรียนการสอนของบทเรียน โดยพิจารณาจากเนื้อหาบทเรียน ผู้เรียนและแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ปัจจัยต่างๆ ที่ใช้พิจารณาในการระบุกลยุทธ์ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆดังนี้
6.1 ข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน
6.2 รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับบทเรียน
6.3 กลยุทธ์ในการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
6.4 การเรียนรู้ ความเข้าใจ และการติดต่อสื่อสาร

7. การระบุสื่อ (Specify Media) ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
  7.1 การพิจารณาคุณสมบัติของสื่อที่ใช้ได้แก่ สื่อเสยี ง สื่อภาพ โสตทัศนูปกรณ์ การจำลองสถานการณ์และเกมการสอน เป็นต้น
  7.2 การเลือกสื่อ โดยพิจารณาคุณสมบัติของสื่อแต่ละชนิด เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุ
ประสงค์ของบทเรียน

8. การเลือกพัฒนาวัสดุการเรียนการสอน (Select Develop Materials) เป็นขั้นตอนแรก
ของขั้นตอนของการพัฒนา (Development) เพื่อเลือกวัสดุการเรียนการสอนจากสื่อหรือวัสดุที่มี
อยู่แล้วหรือพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเนื้อหาบทเรียน

9. การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้ (Analyse Results) เป็นขั้นตอนที่สองของขั้นตอนของการ
พัฒนา เพื่อ ประเมินผลที่ได้จากบทเรียนที่พัฒนาขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้

9.1 การประเมินผลระหว่างดำเนินการ (Formative Evaluation) ได้แก่ การประเมิน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า การยอมรับของผู้เรียน และวิธีการ
นำส่งบทเรียน เป็นต้น
9.2 การประเมินผลสรุป (Summative Evaluation) เพื่อประเมินผู้เรียนหลังจากศึกษา
บทเรียนแล้ว

10. การปรับปรุงวัสดุการเรียน (Revise Materials) เป็นการนำผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนที่
ผ่านมา เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุงวัสดุการเรียนให้เหมาะสมและมีคุณภาพยิ่งขึ้น

11. การทดลองใช้ (Implement) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของรูปแบบการสอนของเนิร์ค แอนด์ กุสตาฟซัน เพื่อทดลองใช้บทเรียนต้นแบบในการประเมินผล ซึ่งเป็นกระบวนการที่กระทำในหัวข้อที่ 9.1 หลังจากนั้นจึงนำผลไปรายงานต่อไป


                       💥รูปแบบการสอนของเจอโรลด์เคมป์(Jerrold Kemp Model)💥

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Jerrold Kemp Model

            เจอโรลด์เคมป์ (Jerrold Kemp)ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้นในปี คศ. 1990 ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งพิจารณาจากองค์ประกอบเกี่ยวกับการเรียนการสอนอย่างครบถ้วน สามารถนำไปใช้ออกแบบและพัฒนาบทเรียนได้เป็นอย่างดี แม้ว่ารูปแบบการเรียนการสอนของเจอโรลด์ เคมป์ จะดูเหมือนว่าค่อนข้างยุ่งยากกว่ารูปแบบการสอนอื่น ๆ แต่ก็เป็นรูปแบบที่สมบูรณ์ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 4 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น 10 ขั้นตอนย่อย โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอก ดังนี้
1.            ระดับในสุด เป็นองค์ประกอบทั่ว ๆ ไปของบทเรียนและผู้เรียน
2.            ระดับถัดออกมา ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
3.            ระดับที่เป็นสามการปรับปรุง แก้ไขบทเรียน
4. ระดับนอกสุด เป็นการประเมินผล ได้แก่ การประเมินผลระหว่างดำเนินการ และการ
ประเมินผลสรุปรายละเอียดแต่ละขั้นตอนย่อย ๆ มีดังนี้
1. ความต้องการของผู้เรียน เป้าหมาย การเรียงลำดับ และข้อจำกัด (Learner Needs,
Goal, Priorities, Constraints) เป็นส่วนที่พิจารณาเกี่ยวกับความต้องการ เป้าหมาย และข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ของผู้เรียนและการใช้บทเรียน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ ขั้นแรกของการเริ่มต้นในกระบวนการออกแบบระบบการสอนหรือบทเรียน จึงจัดอยู่ในศูนย์กลางของระบบและเป็นพื้นฐานของขั้นตอนย่อย ๆ ทั้ง 9 ขั้นตอน

2. คุณสมบัติของผู้เรียน (Learner Characteristics) เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของ
ผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้ระบบการสอนหรือบทเรียนที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยการพิจารณาคุณสมบัติจำนวน  3 ด้าน ดังนี้

    2.1 คุณสมบัติทั่วๆ ไป (General Characteristics) เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา
    2.2 ความสามารถเฉพาะทาง (Specify Entry Competencies)
    2.3 รูปแบบการเรียนรู้ (Learning Styles) เช่น การใช้สื่อ และกิจกรรม เป็นต้น

3. เป้าหมายของงานที่ได้รับ (Job Outcomes Purpose) เป็นการพิจารณาเป้าหมายของ
งานที่ผู้เรียนจะได้รับหลังจบบทเรียนแล้ว เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้งานต่อไป

4. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจรายวิชา (Subject Task Analysis) เป็นการวิเคราะห์งาน
หรือภารกิจที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้หรือสังเกตได้ การวิเคราะห์งาน
ในขั้นตอนนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนต่าง ๆ ดัง นี้
    4.1 เนื้อหาวิชาที่สอดคล้องกับปัญหาหรือความต้องการ
    4.2 ขั้นตอนการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
    4.3 แนวทางการออกแบบกลยุทธ์การเรียนการสอน

5. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objectives) เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิง
พฤติกรรมของบทเรียน โดยพิจารณาจากผลของการวิเคราะห์งานที่ได้จากขั้นตอนที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบบทเรียนและการประเมนิ ผลบทเรียน วัตถุประสงค์ในขั้น ตอนนี้จะต้องครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย

6. กิจกรรมการสอน (Teaching Activities) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนสอนในกระบวนการเรียนการสอน โดยพิจารณาผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทเรียนและความสนใจของผู้เรียน นอกจากนี้การเลือกวัสดุและสื่อการสอน ก็จะต้องให้สอดคล้องกับกิจกรรมการสอนด้วยเช่นกัน

7. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน (Instructional Resources) เป็นการพิจารณาเลือก
สื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริม การเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากผู้เรียนและสถานการณ์การเรียนการสอนเป็นสำคัญ

8. สิ่งสนับสนุนบริการ (Support Services) เป็นการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ เช่น สถานที่ สื่อ วัสดุ อุปกรณ์บุคลากรและตารางเวลาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน

9. การประเมินผลการเรียนรู้ (Learning Evaluation) เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของ
ผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยการสร้างเครื่องมือวัดผลและดำเนินการวัดผล เพื่อให้
ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องต่าง ๆ ของบทเรียนหรือระบบการสอนที่พัฒนาขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขบทเรียนต่อไป

10. การทดสอบก่อนบทเรียน (Pretesting) เป็นการทดสอบผู้เรียนก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ เกี่ยวกับประสบการณ์เดิม และพื้นฐานความรู้ เพื่อ แนะนำให้มีการเพิ่มเติมความรู้ใหม่ก่อนศึกษาบทเรียนหรือหาแนวทางช่วยเหลือผู้เรียนต่อไป

รูปแบบการสอนของเจอโรลด์ เคมป์ ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการพัฒนาระบบการสอนหรือบทเรียนต่าง ๆ ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนรูป แบบการสอนใหม่ เพื่อนำไปใช้ออกแบบบทเรียนที่เน้นการปฏิสัมพันธ์ใน ปีคศ.1994 ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น10 ขั้นตอนย่อย โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอกดังนี้
1. ระดับในสุด ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
2. ระดับที่สอง ประกอบด้วย ขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขบทเรียน (Revision) และขั้นตอนการประเมินผลระหว่างดำเนินการ (Formative Evaluation)
3. ระดับนอกสุด ประกอบด้วย สิ่งสนับสนุนบริการ (Support Services) การบริหาร
โครงการ (Project Management) และการประเมินผลสรุป (Summative Evaluation)

สำหรับขั้นตอนย่อย ๆ มีดังนี้
1. ปัญหาการเรียนการสอน (Instructional Problems) เป็นการกำหนดปัญหาการเรียน
การสอน เพื่อนำไปพิจารณาออกแบบและพัฒนาบทเรียน

2. คุณสมบัติของผู้เรียน (Learner Characteristics) เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของ
ผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้บทเรียนหรือระบบการสอนที่พัฒนาขึ้น

3. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task Analysis) เป็นการวิเคราะห์งานที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่ได้หรือสังเกตได้หลังจบบทเรียน

4. วัตถุประสงค์การเรียนการสอน (Instructional Objectives) เป็นการกำหนดวัตถุ
ประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน

5. การเรียงลำดับเนื้อหา (Content Sequencing) เป็นการกำหนดความสำคัญของเนื้อหา
โดยเรียงลำดับตามหลักประสบการณ์การเรียนรู้

6. กลยุทธ์การเรียนการสอน (Instructional Strategies) เป็นการกำหนดกลยุทธ์การเรียน
การสอน เพื่อนำเสนอบทเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ Support Service

7. การนำส่งการเรียนการสอน (Instructional Delivery) เป็นการพิจารณาและเลือกวิธีการนำส่งบทเรียนไปยังผู้เรียน ได้แก่นำเสนอเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเล็ก และนำเสนอเป็นรายบุคคล

8. เครื่องมือวัดผลการเรียนการสอน (Instructional Instruments) เป็นการออกแบบ
เครื่องมือวัดผล เพื่อใช้สำหรับประเมินผลผู้เรียนในกระบวนการเรียนรู้

9. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน (Instructional Resources) เป็นการพิจารณาเลือก
สื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้การเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ


                            💥รูปแบบการสอนของแฮนนาฟิน แอนด์เพ็ค (Hannafin and Peck)💥
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Hannafin and Peck

       แฮนนาฟิน แอนด์เพ็ค (Hannafin and Peck)ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้นในปี คศ. 1987
สำหรับออกแบบบทเรียนทั่ว ๆ ไป ซึ่งจำแนกออกเป็น 4 ขั้นตอนใหญ่ๆ ดังนี้
1. การประเมินความต้องการ (Needs Assessment) ได้แก่การประเมินความต้องการ
ของผู้เรียนเพื่อการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรม เป็นกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาความ
จำเป็นของการใช้บทเรียนเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในขั้นตอนนี้จึงเป็นการทำงานด้าน
เอกสารเป็นส่วนใหญ่ เพื่อนำผลที่ได้ไปใช้ในการออกแบบบทเรียนให้สอดคล้องกับความต้องการในขั้นต่อไป ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
1.1 การกำหนดคุณสมบัติของผู้เรียน
1.2 การระบุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของบทเรียน
1.3 การกำหนดรูปแบบการนำส่งบทเรียน ได้แก่ซีดีรอม เว็บช่วยสอนไฮเปอร์มีเดีย
หรือเอกสาร เป็นต้น
1.4 การระบุข้อจำกัดในการใช้บทเรียน เช่น อายุผู้เรียน เวลา คอมพิวเตอร์สมรรถนะ
ที่จำเป็นของผู้เรียน และอื่น ๆหลังจากประเมินความต้องการในขั้นตอนแรก จะต้องมีการประเมินและปรับปรุงแก้ไข (Evaluation and Revision) ก่อนที่เข้าสู่ขั้นตอนของการออกแบบ (Design) ในขั้นที่สองต่อไป ซึ่งการประเมินความต้องการจะต้องมีความชัดเจนในประเด็นต่อ ไปนี้
1) การเรียนการสอนจะต้องมีความชัดเจน
2) บทเรียนต้องมีความเหมือนกัน (Consistently) ทุก ๆ บทเรียน
3) การออกแบบบทเรียนจะต้องมีเหตุผลและมีความเป็นมิตร (User-friendly)
4) กิจกรรมการเรียนรู้จะต้องง่ายต่อการติดตาม
5) เนื้อหาบทเรียนที่นำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ ภาพ กราฟิก หรือเสียงก็ตาม จะต้องมีความหมาย
6) การออกแบบ การกำหนดตำแหน่งหน้าจอ สีหรือ อื่น ๆ จะต้องสอดคล้องกับบทเรียน

2. การออกแบบ (Design) ได้แก่ การออกแบบบทเรียนตามผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ความต้องการในขั้นตอนแรก โดยนำผลลัพธ์ที่ได้มาออกแบบบทเรียนตามกระบวนการเรียนรู้ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนนี้จึงเป็นตัวบทเรียนต้นแบบที่พร้อมจะนำไปพัฒนาในขั้นต่อไป

3. การพัฒนาและการทดลองใช้ (Develop/Implement) ได้แก่ การพัฒนาเป็นบทเรียน
เช่น บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนคอมพิวเตอร์ หรือระบบการสอน ตามแนวทางการออกแบบที่ได้
จากขั้นตอนที่สอง หลังจากนั้นจึงนำไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย

4. การประเมินและสรุปผล (Evaluation and Revision) ได้แก่การประเมินผลบทเรียน
และสรุปผล เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปแก้ไขบทเรียนในโอกาสต่อไป


                      💥รูปแบบการสอนของบราว์นและคณะ (Brown and Others) 💥
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ บราวน์และคณะ

          บราว์นและคณะ (Brown and Others) ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้น ในปีคศ. 1987 เป็น
รูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยการพิจารณาถึงแนวทางและวิธีการเรียนรู้ของ
ผู้เรียนแต่ละคน เพื่อจะได้สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความต้องการ
ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน ประกอบด้วยขั้นตอนใหญ่ๆ จำนวน 4 ขั้นตอนและแบ่งออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ อีก 7 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 เป้าหมาย (Goals) เป็นการพิจารณาเป้าหมายทางการเรียนการสอนที่ต้องการให้ผู้เรียนบรรลุผลสำเร็จ โดยผู้สอนจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์และเนื้อหาให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
1. วัตถุประสงค์และเนื้อหา (Objectives and Content) เป็นสิ่งแรกที่ผู้สอนจะต้อง
พิจารณาถึงความคาดหวังที่มีต่อผู้เรียน เมื่อผู้เรียนศึกษาเนื้อหาเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจะต้องเป็นวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรมที่สามารถวัดหรือสังเกตได้

ขั้นตอนที่ 2 เงื่อนไข (Conditions) เป็นการพิจารณาถึงเงื่อนไขหรือสภาพการณ์ของการ
จัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาบทเรียนอย่างได้ผล ส่งผลให้บรรลุตามวัตถุ
ประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยเน้นถึงสภาพความแตกต่างระหว่างบุคคล ในการจัดรูปแบบหรือวิธีการเรียนที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
2. การจัดประสบการณ์การเรียน (Learning Experiences) เป็นการจัดประสบการณ์ใน
ลักษณะของกิจกรรมการเรียนรู้ ในขั้นนี้จึงต้องเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับ ผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบ เช่น การเขียน การอ่าน การฟัง การฝึกให้คิด การอภิปราย และการศึกษารายกรณีเป็นต้น

3. การจัดรูปแบบการเรียนการสอน (Teaching–Learning Modes) เป็นการจัดรูปแบบ
การเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี โดยคำนึงถึง ขนาดของผู้เรียน วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม และเนื้อหาบทเรียน เป็นสำคัญ การจัดรูปแบบการเรียนการสอนจะต้องพิจารณาขนาดของกลุ่มผู้เรียนด้วย ถ้าเป็นผู้เรียนกลุ่มใหญ่อาจใช้วิธีการบรรยายแต่ถ้ากลุ่มผู้เรียนมีขนาดกลางหรือกลุ่มเล็ก ๆ อาจจะใช้วิธีการบรรยายประกอบการใช้คำถามรวมทั้งใช้สื่อประกอบ แต่ถ้าเป็นการเรียนรายบุคคล การใช้สื่อประสมจะได้ผลดีกว่าใช้วิธีอื่น ๆ

ขั้นตอนที่ 3 แหล่งทรัพยากร (Resources) เป็นการพิจารณาแหล่งทรัพยากรที่สามารถใช้สนับสนุนการเรียนการสอนให้กับผู้เรียน ได้แก่ตำรา เอกสาร สื่อ วัสดุ อุปกรณ์เครื่องจักร และเครื่องมือต่าง ๆ รวมทั้งบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
4. บุคลากร (Personal) เป็นการพิจารณาบุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเรียนรู้ของ
ผู้เรียน นอกเหนือจากผู้สอนซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อกระบวนการเรียนการสอน รวมทั้ง
บุคคลอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน บทบาทของผู้สอนนอกจากจะเป็นผู้นำในการถ่ายทอดความรู้ไปยังผู้เรียน โดยการใช้สื่อการสอน จัดสภาพแวดล้อม จัดประสบการณ์การเรียนรู้และให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนแล้ว ยังจะต้องประสานความสัมพันธ์กับผู้สอนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่น ๆ เพื่อวางแผนการสอนและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิด ขึ้น ในกระบวนการเรียนการสอน เพื่อการปรับปรุงแก้ไข ส่วนบทบาทของผู้เรียนก็คือ การศึกษาบทเรียนตามแผนการเรียนที่กำหนดไว้ทำกิจกรรม และประเมินผลการเรียน
5. วัสดุและเครื่องมือ (Materials and Equipment) เป็นการพิจารณาเลือกใช้วัสดุและ
เครื่องมือประกอบการเรียนการสอน โดยคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
5.1 ความเหมาะสมกับระดับความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของผู้เรียน
5.2 ความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
5.3 ชนิดของสื่อมีความเหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอน
5.4 แหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ
5.5 ความสะดวกในการใช้งาน

6. สิ่งอำนวยความสะดวกทางด้านกายภาพ (Physical Facilities) เป็นการพิจารณาการ
การจัดสภาพห้องเรียนตามขนาดของกลุ่มผู้เรียน เพื่อให้การจัดกระบวนการเรียนรู้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมสิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าวนี้ ได้แก่ ห้องเรียน ห้องสมุด และห้องปฏิบัติการ เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 4 ผลลัพธ์ (Outcomes) เป็นการพิจารณาผลลัพธ์ที่ได้จากการพัฒนารูปแบบการสอน เพื่อนำผลจากการประเมินไปปรับปรุงแก้ไขบทเรียนหรือระบบการสอนให้ดีขึ้น ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
7. การประเมินและการปรับปรุง (Evaluation and Improvement) เป็นขั้นตอนสุดท้าย
ของรูปแบบการสอนของบราว์นและคณะ เพื่อประเมินผลหลังจากศึกษาบทเรียนแล้ว ผลที่ได้จากการประเมินจะนำไปใช้ปรับปรุงขั้นตอนต่าง ๆ ของระบบการสอนหรือบทเรียนต่อไป เพ่อื ให้ได้บทเรียนที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น


                                          💥รูปแบบการสอน Rapid Prototyping Model💥

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Rapid Prototyping Model
        ทริปป์แอนด์บิเชลเมเยอร์ (Tripp and Bichelmeyer) ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้นรูปแบบหนึ่งใน ปีคศ. 1990 สำหรับออกแบบบทเรียนทั่ว ๆ ไป ซึ่งมีชื่อเสียงแพร่หลายในชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Rapid Prototyping Model แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ดังนี้
1. การประเมินความต้องการและการวิเคราะห์เนื้อหา (Assess Needs and Analyse
Content) ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
  1.1 การประเมินความต้องการ (Needs Assessment)
  1.2 การประเมินผู้เรียน (Audience Assessment)
  1.3 การระบุเนื้อหาบทเรียน (Specify Content)
  1.4 การเลือกระบบนิพนธ์และระบบการนำส่งบทเรียน (Selecting Authoring and
Delivery Systems)

ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนที่ 1 มีดังนี้
  1) รายงานการประเมินความต้องการ (Needs Assessment Report)
  2) ข้อมูลของผู้เรียน (Learner Profile)
  3) โครงร่างของเนื้อหาบทเรียน (Content Outline)
                    
2. การตั้งวัตถุประสงค์ (Set Objective) ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
  2.1 การระบุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ (Specify Goals and Objectives)
  2.2 การวางแผนโครงการ (Planning Project)
  2.3 การกำหนดเวลาโครงการ (Project Timetable)
ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนที่ 2 มีดังนี้
  1) ลำดับขั้นการเรียนรู้ (Learning Hierarchy)
  2) เป้าหมายและวัตถุประสงค์ (Goals and Objectives)
  3) เวลาโครงการ (Project Timetable)

ระดับที่ 2 การสร้างบทเรียนต้นแบบ (Construction Prototype - Design) เป็นการสร้าง
บทเรียนต้นแบบขึ้นก่อน โดยใช้ผลลัพธ์ที่ได้จาก 2 ขั้นตอนแรก ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
1. การเขียนผังงานบทเรียน (Flowcharting)
2. การสร้างบทเรียนต้นแบบ (Prototyping)
3. การเขียนสคริปต์บทเรียน (Writing Scripts)
ผลลัพธ์ที่ได้จากระดับที่ 2 มีดังนี้
1) ผังงานบทเรียน (Flowcharting)
2) บทเรียนต้นแบบ (Prototyping)
3) สคริปต์บทเรียน (Scripts)

ระดับที่ 3 การวิจัยประโยชน์ของบทเรียนต้นแบบ (Utilize Prototype - Research) เป็น
การนำบทเรียนต้นแบบที่ได้สร้างขึ้นไปทดลองใช้ เพื่อเก็บข้อมูลในรูปของการวิจัย รายงานผลการค้นพบด้วยสถิติและข้อมูลสนับสนุน หลังจากนั้นจึงปรับปรุงแก้ไขบทเรียนต้นแบบให้มีคุณภาพตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
1. การดำเนินการก่อนการผลิต (Conducting Preproduction)
2. การดำเนินการผลิต (Conducting Production)
3. การดำเนินการหลังการผลิต (Conducting Postproduction)
ผลลัพธ์ที่ได้จากระดับที่ 3 มีดังนี้
1) วัสดุประกอบบทเรียน (Adjunct Materials)
2) เอกสารโปรแกรม (Program Documentation)
3) ใบรายการปรับปรุงบทเรียน (Instructional Improvement Sheets)

ระดับที่ 4 การติดตั้งและบำรุงรักษาระบบ (Install & Maintain System) เป็นการนำ
บทเรียนไปใช้งานจริง รวมทั้งการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและปรับเปลี่ยนให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ประกอบด้วยขั้นตอนย่อยๆ ดังนี้
1. การทำเอกสารโครงการ (Documentating Project)
2. การปรับปรุงโครงการให้ใช้งานได้ (Validating Project)
3. การประเมินผลกระทบ (Conducting Impact Evaluation)
ผลลัพธ์ที่ได้จากระดับที่ 4 มีดังนี้
1) เอกสารโครงการ (Documentating Project)
2) รายงานการประเมินบทเรียนที่ใช้งานได้ (Effectiveness Evaluation Report)
3) รายงานการประเมินผลกระทบ (Impact Evaluation Report)

นอกเหนือจากรูปแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีรูปแบบการสอนอื่น ๆ อีก เช่น
1. รูปแบบการสอนของไดมอนด์โรมิโซวสกี (Diamond Romizowski Model)
2. รูปแบบการสอนของแวน แพทเท็น (Van Patten Model)
3. รูปแบบการสอนของกลาเซอร์ (Glaser Model)
4. รูปแบบการสอนของเบอร์แมน แอนด์มัวร์ (Berman and Moore Model)
5. รูปแบบการสอนของบริกส์แอนด์แวกเนอร์ (Briggs and Wagner Model)
6. รูปแบบการสอนของดิค แอนด์ไรเซอร์ (Dick and Reiser Model)


💬นักพัฒนา💬

   💓ทฤษฎีการเรียนรู้💓

                                     💂 พาฟลอฟ  ( Ivan Petrovich Pavlov ) 💂                          
                          https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSgNgIr_U6GX7obCXmkjug4cWCYpp1ipZlfGPQaYJ4vP3GsjKjl0qdDnx6fwKeFdrO36syBZRHWP4hw_siiOcYAEGvG35bgdr4Y1kl-GKlE4NFPzmrXoQkg9fgS-eO6bC_qm3E2rvIrNqB/s1600/untitled014.bmp            
                              
   👴ทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ  ( Ivan Petrovich Pavlov )👴
       ชื่อ  อีวาน เปโตรวิช พาฟลอฟ
       เกิด 14 กันยายน  ค.ศ.1849 ( 1849-09-14 ) รีซาน , จักรวรรดิรัสเซีย
       เสียชีวิต    27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1936 (อายุ 86 ปี) เลนินกราด , สหภาพโซเวียต
       สาขาวิชา สรีวิทยา , จิตวิทยา , แพทย์
  ผลงาน การวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม Transmarginal.inhibition การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกียรติประวัติ      รางวัลโนเบลสาขาสรีวิทยา หรือการแพทย์ ( ค.ศ.1904 )

   😺 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค😺
        พาฟลอฟ เชื่อว่าการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากเกิดจากการวางเงื่อนไข กล่าวคือ การตอบสนองหรือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นต่อสิ่งเร้าหนึ่งมักมีเงื่อนไขหรือ สถานการณ์เกิดขึ้น ซึ่งในสภาพปกติหรือในชีวิตประจำวันการตอบสนองเช่นนั้นอาจไม่มี เช่น กรณีสุนัขได้ยินเสียงกระดิ่งและน้ำลายไหล เสียงกระดิ่งเป็นสิ่งเร้าที่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไข พาพลอฟ เรียกว่า สิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข และปฏิกิริยาน้ำลายไหล เป็นการตอบสนองที่เรียกว่าการตอบสนองที่มีเงื่อนไข 

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคของพาฟลอฟ
                จุดเริ่มมาจากนักสรีระวิทยา ชาวรัสเซีย ชื่อ อิวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) ทำการทดลองให้สุนัขหลั่งน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง โดยอินทรีย์ (สุนัข) เกิดการเชื่อมโยงสิ่งเร้า 2 สิ่ง คือ เสียงกระดิ่งกับผงเนื้อ จนเกิดการตอบสนองโดยน้ำลายไหล เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง ดังรูปต่อไปนี้

↦ก่อนวางเงื่อนไข 
 ↦ขณะวางเงื่อนไข 
 ↦หลังจากวางเงื่อนไข

ส่วนประกอบของกระบวนการวางเงื่อนไข
สิ่งเร้าที่ไม่มีเงื่อนไข UCS (Unconditional Stimulus)
สิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข CS (Conditional Stimulus)
การตอบสนองอย่างไม่มีเงื่อนไข UCR (Unconditional Response)
การตอบสนองอย่างมีเงื่อนไข CR (Conditional Response) 



วิดิโอที่เกี่ยวข้อง


    (Classical Conditioning Thoery )
                การทดลองโดยสั่นกระดิ่งก่อนที่จะเอาอาหาร (ผงเนื้อ) ให้แก่สุนัข เวลาระหว่างการสั่นกระดิ่งและการให้ผงเนื้อแก่สุนัขต้องเป็นเวลาที่กระชั้นชิดมากประมาณ .25 ถึง .50 วินาทีทำซ้ำควบคู่กันหลายครั้ง และในที่สุดหยุดให้อาหารเพียงแต่สั่นกระดิ่งก็ปรากฏว่าสุนัขก็ยังคงมีน้ำลายไหลได้ โดยที่ข้างแก้มของสุนัขติดเครื่องมือวัดระดับการไหลของน้ำลายไว้ ปรากฏการเช่นนี้เรียกว่า พฤติกรรมของสุนัขถูกวางเงื่อนไข (Povlov, 1972) หรือที่เรียกว่าสุนัขเกิดการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค 
         การเรียนรู้ที่เรียกว่า classical conditioning นั้นหมายถึงการเรียนรู้ใดๆก็ตามซึ่งมีลักษณะการเกิดตาม ลำดับขั้นดังนี้
             1. ผู้เรียนมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าใดสิ่งเร้าหนึ่ง
             2. การเรียนรู้เกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิดและการฝึกหัด            
องค์ประกอบสำคัญในการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง จะต้องประกอบด้วยกระบวนการของส่วนประกอบ 4อย่าง คือ
        1. สิ่งเร้า เป็นตัวการที่ทำให้บุคคลมีปฏิกิริยาโต้ตอบออกมา
        2. แรงขับ จะทำให้เกิดปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ต่อไป
        3. การตอบสนอง เป็นปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมที่แสดงออกมาเมื่อได้รับการ กระตุ้นจากสิ่งเร้า
        4. สิ่งเสริมแรง เป็นสิ่งมาเพิ่มกำลังให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองให้มีแรงขับเพิ่มขึ้น
กฎการเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดลอง พาฟลอฟ ได้สรุปเป็นกฎ 4 ข้อคือ
        1. กฎการลบพฤติกรรม
        2. กฎแห่งการคืนกลับ
        3. กฎความคล้ายคลึงกัน
        4. การจำแนก

           ลักษณะของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
          1.การตอบสนองเกิดจากสิ่งเร้า หรือสิ่งเร้าเป็นตัวดึงการตอบสนองมา
          2.การตอบสนองเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ได้จงใจ
          3.ให้ตัวเสริมแรงก่อน แล้วผู้เรียนจึงจะตอบสนอง เช่น ให้ผงเนื้อก่อนจึงจะมีน้ำลายไหล
          4.รางวัลหรือตัวเสริมแรงไม่มีความจำเป็นต่อการวางเงื่อนไข
          5.ไม่ต้องทำอะไรกับผู้เรียน เพียงแต่คอยจนกระทั่งมีสิ่งเร้ามากระตุ้นจึงจะเกิดพฤติกรรม
           6.เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาสะท้อนและอารมณ์ ซึ่งมีระบบประสาทอัตโนมัติเข้าไปเกี่ยวข้องในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล 
         การประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน
        1.ในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล
        2.การวางเงื่อนไข เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านอารมณ์
        3.การลบพฤติกรรมที่วางเงื่อนไข
        4.การสรุปความเหมือนและการแยกความแตกต่าง

                                                         💂 วัตสัน (John B.Watson)💂
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วัตสัน นักจิตวิทยา

       👴   จอห์น บี วัตสัน (John B. Watson) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน มีช่วงชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1878 – 1958 รวมอายุได้ 90 ปี วัตสันได้นำเอาทฤษฎีของพาฟลอฟมาเป็นหลักสำคัญในการอธิบายเรื่องการเรียน ผลงานของวัตสันได้รับความนิยมแพร่หลายจนได้รับการยกย่องว่าเป็น“บิดาของจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม” ทฤษฎีของเขามีลักษณะในการอธิบายเรื่องการเกิดอารมณ์จากการวางเงื่อนไข (Conditioned emotion)  


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ จอห์น บี วัตสัน

              วัตสัน ได้ทำการทดลองโดยให้เด็กคนหนึ่งเล่นกับหนูขาว และขณะที่เด็กกำลังจะจับหนูขาว ก็ทำเสียงดังจนเด็กตกใจร้องไห้ หลังจากนั้นเด็กจะกลัวและร้องไห้เมื่อเห็นหนูขาว ต่อมาทดลองให้นำหนูขาวมาให้เด็กดู โดยแม่จะกอดเด็กไว้ จากนั้นเด็กก็จะค่อย ๆ หายกลัวหนูขาว
การทดลองที่ 1  การวางเงื่อนไขความกลัว

ระยะของการวางเงื่อนไข
ขั้นที่
การให้สิ่งเร้าและการตอบสนอง
ก่อนการวางเงื่อนไข
1
2
หนูขาว(UCS) -----> ไม่มีกลัว(UCR)
เสียงดัง(UCS) -----> กลัวและร้องไห้(UCR)
ระหว่างการวางเงื่อนไข
3
หนูขาว(CS)+และเสียงดัง(UCS) -----> ตกใจกลัวร้องไห้(UCR)
หลังการวางเงื่อนไข
4
หนูขาว(CS) ------> ตกใจร้องไห้(CR)

การทดลองที่ 2  การวางเงื่อนไขกลับ

ระยะของการวางเงื่อนไข
ขั้นที่
การให้สิ่งเร้าและการตอบสนอง
ก่อนการวางเงื่อนไข
1
มารดาอุ้ม(UCS) -------> ไม่กลัวสิ่งต่างๆ(UCR)
ระหว่างการวางเงื่อนไข
2
หนูขาว(CS)+มารดา(UCS) -------> ไม่กลัว(UCR)
หลังการวางเงื่อนไข
3
หนูขาว(CS) -------> เล่นกับหนูขาว(CR)
  จากการทดลองดังกล่าว วัตสันสรุปเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ ดังนี้
1.พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดขึ้นได้ โดยการควบคุมสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ และการเรียนรู้จะคงทนถาวรหากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์กันนั้นควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ
2. เมื่อสามารถทำให้เกิดพฤติกรรมใด ๆ ได้ ก็สามารถลดพฤติกรรมนั้นให้หายไปได้

       ลักษณะของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
1.การตอบสนองเกิดจากสิ่งเร้า หรือสิ่งเร้าเป็นตัวดึงการตอบสนองมา
2.การตอบสนองเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ได้จงใจ
3.ให้ตัวเสริมแรงก่อน แล้วผู้เรียนจึงจะตอบสนอง เช่น ให้ผงเนื้อก่อนจึงจะมีน้ำลายไหล
4.รางวัลหรือตัวเสริมแรงไม่มีความจำเป็นต่อการวางเงื่อนไข
5.ไม่ต้องทำอะไรกับผู้เรียน เพียงแต่คอยจนกระทั่งมีสิ่งเร้ามากระตุ้นจึงจะเกิดพฤติกรรม
6. เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาสะท้อนและอารมณ์ ซึ่งมีระบบประสาทอัตโนมัติเข้าไปเกี่ยวข้องในแง่ของควาแตกต่างระหว่างบุคคล 

          การประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน
1.ในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล ความแตกต่างทางด้านอารมณ์มีแบบแผนการตอบสนองได้ไม่เท่ากัน จำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพทางอารมณ์ผู้เรียนว่าเหมาะสมที่จะสอนเนื้อหาอะไร
2.การวางเงื่อนไข เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ด้วย โดยปกติผู้สอนสามารถทำให้ผู้เรียนรู้สึกชอบหรือไม่ชอบเนื้อหาที่เรียนหรือสิ่งแวดล้อมในการเรียน
3.การลบพฤติกรรมที่วางเงื่อนไข ผู้เรียนที่ถูกวางเงื่อนไขให้กลัวผู้สอน เราอาจช่วยได้โดยป้องกันไม่ให้ผู้สอนทำโทษเขา

👴สกินเนอร์ (Skinner)👴
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สกินเนอร์ (Skinner)
💂ทฤษฎีการเรียนรู้แบบลงมือกระทำของสกินเนอร์💂
      Burrhus Skinner นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้คิดทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning theory หรือ Instrumental Conditioning หรือ Type-R. Conditioning) เขามีความคิดว่าทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาส       สิคนั้น จำกัดอยู่กับพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนน้อยของมนุษย์ พฤติกรรมส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง ไม่ใช่เกิดจากการจับคู่ระหว่างสิ่งเร้าใหม่กับสิ่งเร้าเก่าตามการอธิบายของ Pavlov Skinnerได้อธิบายคำว่า" พฤติกรรม "
การเสริมแรง(Reinforcement )
หมายถึงสิ่งเร้าใดที่ทำให้พฤติกรรมการเรียนรู้เกิดขึ้นแล้วมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอีก มีความคงทนถาวร เช่น การกดคานและจิกแป้นสีของนกพิราบได้ถูกต้องต้องการทุกครั้งเมื่อหิวหรือต้องการ ในการทดลอง Skinner ตัวเสริมแรง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
 1. ตัวเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) หมายถึงสิ่งเร้าใดเมื่อนำมาใช้แล้วทำให้อัตราการตอบสนองมากขึ้น เช่น คำชมเชย รางวัล อาหาร เป็นต้น
 2. ตัวเสริมแรงทางลบ (Negasitive Reinforcement) หมายถึงสิ่งเร้า
 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำ
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำ (Operant Conditioning Theory) เกิดขึ้นโดยมีแนวความคิด ของสกินเนอร์ (D.F. Skinner) ในสมัยของสกินเนอร์ ปี 1950 สหรัฐ อเมริกาได้เกิดวิกฤติการการขาดแคลนครูที่มีประสิทธิภาพเขาจึงได้คิดเครื่อง มือช่วยสอนขึ้นมาเพื่อปรับปรุงให้ระบบการศึกษามีประสิทธิภาพ เครื่องมือที่คิดขึ้นมาสำเร็จเรียกว่าบทเรียนสำเร็จรูป หรือการสอนแบบโปรแกรม(Program Instruction or Program Learning) และเครื่องมือช่วยในการสอน (Teaching Machine) เป็นที่นิยมแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน
หลักการเรียนรู้ทฤษฎี สกินเนอร์ (Skinner)กับทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning) โดยจากแนวความคิดที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งก่อให้เกิดพฤติกรรม และผลของการกระทำของพฤติกรรมนั้นโดยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมนั้น ทฤษฏีนี้เน้นการกระทำของผู้ที่เรียนรู้มากกว่าสิ่งที่ผู้สอนกำหนดขึ้น 

วิดิโอที่เกี่ยวข้อง

         🙇 Burrhus Skinner นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้คิดทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning theory หรือ Instrumental Conditioning หรือ Type-R. Conditioning) เขามีความคิดว่าทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคนั้น จำกัดอยู่กับพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนน้อยของมนุษย์ พฤติกรรมส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง ไม่ใช่เกิดจากการจับคู่ระหว่างสิ่งเร้าใหม่กับสิ่งเร้าเก่าตามการอธิบายของ Pavlov Skinnerได้อธิบายคำว่า" พฤติกรรม " ว่าประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ตัว คือ สิ่งที่ก่อให้เกิดขึ้นก่อน(Antecedent) - พฤติกรรม(Behavior) - ผลที่ได้รับ(Consequence) ซึ่งเขาเรียกย่อๆ ว่า A-B-C ซึ่งทั้ง 3 จะดำเนินต่อเนื่องไป ผลที่ได้รับจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดขึ้นก่อนอันนำไปสู่การเกิดพฤติกรรมและนำไปสู่ผลที่ได้รับตามลำดับ

   การศึกษาในเรื่องนี้ Skinner ได้สร้างกล่องขึ้นมา มีชื่อเรียนกว่า Skinner Box กล่องนี่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมมีคานหรือลิ้นบังคับให้อาหารตกลงมาในจาน เหนือคานจะมีหลอดไฟติดอยู่ เมื่อกดคานไฟจะสว่างและอาหารจะหล่นลงมาSkinner Box นำนกไปใส่ไว้ในกล่อง และโดยบังเอิญนกเคลื่อนไหวไปถูกคานอาหารก็หล่นลงมา อาหารที่นกได้นำไปสู่การกดคานซ้ำและการกดคานแล้วได้อาหาร


     ตัวอย่างตารางการให้การเสริมแรง
ตารางการเสริมแรง
ลักษณะ
ตัวอย่าง
การเสริมแรงทุกครั้ง (Continuous)
เป็นการเสริมแรงทุกครั้งที่
แสดงพฤติกรรม
ทุกครั้งที่เปิดโทรทัศน์แล้ว
เห็นภาพ
การเสริมแรงความช่วงเวลาที่
แน่นอน (Fixed - Interval)
ให้การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่
กำหนด
ทุก ๆ สัปดาห์ผู้สอนจะทำ
การทดสอบ
การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่
ไม่แน่นอน
(Variable - Interval)
ให้การเสริมแรงตามระยะเวลา
ที่ไม่แน่นอน
ผู้สอนสุ่มทดสอบตามช่วงเวลา
ที่ต้องการ
การเสริมแรงตามจำนวนครั้ง
ของการตอบสนองที่แน่นอน
(Fixed - Ratio)
ให้การเสริมแรงโดยดูจาก
จำนวนครั้งของการตอบสนอง
ที่ถูกต้องด้วยอัตราที่แน่นอน
การจ่ายค่าแรงตามจำนวน
ครั้งที่ขายของได้
การเสริมแรงตามจำนวนครั้ง
ของการตอบสนองที่ไม่แน่นอน
(Variable - Ratio)
ให้การเสริมแรงตามจำนวนครั้ง
ของการตอบสนองแบบไม่แน่นอน
การได้รับรางวัลจากเครื่อง
เล่นสล๊อตมาชีน

   สกินเนอร์ (B.F. Skinner) ได้กำหนดการวางเงื่อนไขการกระทำ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กันมากในปัจจุบัน โดยวิธีการวางเงื่อนไขจะใช้การเสริมแรง โดยทดลองกับสัตว์ในห้องปฏิบัติการและค้นคว้าจนพบว่าใช้ได้ดีกับมนุษย์

   🙆หลักการวางเงื่อนไขผลกรรม (Operant Conditioning) มีแนวคิดว่า การกระทำใด ๆ (Operant) ย่อมก่อให้เกิดผลกรรม (Consequenceหรือ Effect) 🙆
     การเรียนรู้เงื่อนไขผลกรรมนี้ต้องการให้เกิดพฤติกรรมโดยใช้ผลกรรมเป็นตัวควบคุม
     การเรียนรู้เงื่อนไขผลกรรมนี้ต้องการให้เกิดพฤติกรรมโดยใช้ผลกรรมเป็นตัวควบคุม ผลกรรมที่เกิดขึ้น
ถ้าเป็นผลกรรมที่ต้องการ เป็นผลกรรมเชิงบวก เรียก การเสริมแรง
ถ้าเป็นผลกรรมที่ไม่ต้องการ เป็นผลกรรมเชิงลบ เรียกว่า การลงโทษ
    การเสริมแรง หมายถึง การทำให้มีพฤติกรรมเพิ่มขึ้นอันเนื่องจากผลกรรม ได้แก่
เสริมแรงทางบวก เช่น ทำงานเสร็จแล้วแม่ให้ถูโทรทัศน์
เสริมแรงทางเชิงลบ เช่น การขึ้นสะพานลอยเพื่อพ้นจากการถูกจับ
    การลงโทษ หมายถึง การให้ผลกรรมที่ไม่ต้องการ หรือ ถอดถอนสิ่งที่ต้องการแล้วทำให้พฤติกรรมลดลง ได้แก่   การลงโทษทางบวก เช่น เด็กส่งเสียงดัง แล้วถูกดุ การลงโทษทางลบ เช่น ทำการบ้านไม่เสร็จแล้วแม่ไม่ให้ไปเล่นเกมส์


💂ธอร์นไดค์ (Thorndike’s Connectionism Theory)💂

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ธอร์นไดค์

  👴ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s Connectionism Theory)👴
ประวัติของธอร์นไดค์
         เอ็ดเวิร์ด ลี ธอร์นไดค์ (Edward Lee Thomdike) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกา เกิด วันที่ 31สิงหาคม ค.ศ.1814ที่เมืองวิลเลี่ยมเบอรี่ รัฐแมซซาชูเสท และสิ้นชีวิตวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1949 ที่เมืองมอนท์โร รัฐนิวยอร์ค
หลักการเรียนรู้ 
            ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง กล่าวถึง การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง โดยมีหลักพื้นฐานว่า การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่มักจะออกมาในรูปแบบต่างๆ หลายรูปแบบ โดยการลองถูกลองผิด จนกว่าจะพบรูปแบบที่ดีและเหมาะสมที่สุด
หลักการเรียนรู้ของทฤษฎี
            ธอร์นไดค์ เขาได้เริ่มการทดลองเมื่อปี ค.ศ.1898 เกี่ยวกับการใช้หีบกล( Puzzie-box) เขาทดลองการเรียนรู้จนมีชื่อเสียง การทดลองใช้หีบกล

    การทดลอง 
             ในการทดลอง ธอร์นไดค์ได้นำแมวไปขังไว้ในกรงที่สร้างขึ้น แล้วนำปลาไปวางล่อไวนอกกรงให้ห่างพอประมาณ โดยให้แมวไม่สามารถยื่นเท้าไปเขี่ยได้ จากการสังเกต พบว่าแมวพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อจะออกไปจากกรง จนกระทั่งเท้าของมันไปเหยียบถูกคานไม้โดยบังเอิญ ทำให้ประตูเปิดออก หลังจาก นั้นแมวก็ใช้เวลาในการเปิดกรงได้เร็วขึ้น



วิดิโอที่เกี่ยวข้อง

    🙏 จากการทดลอง ธอร์นไดค์อธิบายว่า การตอบสนองซึ่งแมวแสดงออกมาเพื่อแก้ปัญหา เป็นการตอบสนองแบบลองผิดลองถูก การที่แมวสามารถเปิดกรงได้เร็วขึ้น ในช่วงหลังแสดงว่า แมวเกิดการสร้างพันธะหรือตัวเชื่อมขึ้นระหว่างคานไม้กับการกดคานไม้
กฏแห่งการเรียนรู้
1.กฎแห่งความพร้อม(law of readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดี ถ้าผู้เรียนมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ 
2.กฎแห่งการฝึกหัด (low of exercise) การฝึกหัดหรือกระทำบ่อยๆ ด้วยความเข้าใจจะทำให้การเรียนรู้นั้นคงถาวร ถ้าไม่ได้กระทำซ้ำบ่อยๆ การเรียนรู้นั้นจะไม่คงถาวร และในที่สุดอาจจะลืมได้
กฎการเรียนรู้
3.กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (law of effect) เมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจย่อมอยากจะเรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจ จะไม่อยากเรียนรู้ ดังนั้น การได้รับผลที่พึงพอใจ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้
การประยุกต์ทฤษฎีของธอร์นไดค์ 
             1.ธอร์นไดค์ในฐานะนักจิตวิทยาการศึกษา เข้าได้ให้ความสนใจในปัญหาการปรับปรุงการเรียนการสอนของนักเรียนในโรงเรียน เขาเน้นว่า นักเรียนต้องให้ความสนใจในสิ่งที่เรียน ความสนใจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อครูจัดเนื้อหาที่ผู้เรียนมองเห็นว่ามีความสำคัญต่อตัวเขา
             2. ครูควรจะสอนเด็กเมื่อเด็กมีความพร้อมที่เรียน ผู้เรียนต้องมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะเรียนและไม่ตกอยู่ในสภาวะบางอย่าง เช่น เหนื่อย ง่วงนอน เป็นต้น 
             3. ครูควรจัดให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝนและทดทวนในสิ่งที่เรียนไปแล้วในเวลาอันเหมาะสม 
             4. ครูควรจัดให้ผู้เรียนได้รับความพึ่งพอใจและประสบผลสำเร็จในการทำกิจกรรมเพื่อเป็นแรงจูงใจต่อตัวเองในการทำกิจกรรมต่อไป 



👨ศาสตราจารย์ อัลเบิร์ต บันดูรา👨

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
💂ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา 💂
   ประวัติของศาสตราจารย์บันดูรา    เกิดที่เมืองอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย ได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตและปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางจิตวิทยาคลินิก จากมหาวิทยาลัยไอโอวา  เขาสนใจทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม รับตำแหน่งที่ภาควิชาจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
   แนวคิดและทฤษฎี
บันดูรามีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมากเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบ เนื่องจากมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ
ผู้เรียนต้องสามารถที่จะประเมินได้ว่าตนเลียนแบบได้ดีหรือไม่ดีอย่างไร และจะต้องควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ด้วย บันดูรา จึงสรุปว่า การเรียนรู้โดยการสังเกตจึงเป็นกระบวนการทางการรู้คิดหรือพุทธิปัญญา

วิดีโอที่เกี่ยวข้อง

🙌ขั้นตอนการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือเลียนแบบมี 2 ขั้น🙌
ขั้นที่ 1 ขั้นการได้รับมาซึ่งการเรียนรู้ (Acquisition) ทำให้สามารถแสดงพฤติกรรมได้
ขั้นที่ 2 เรียกว่าขั้นการกระทำ (Performance) ซึ่งอาจจะกระทำหรือไม่กระทำก็ได้ 
การเรียนรู้แบ่งเป็น 2 ขั้นดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นการรับมาซึ่งการเรียนรู้ (Acquision)
ขั้นที่ 2 ขั้นการกระทำ (Performance)

ปัจจัยที่สำคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกต
1.กระบวนการความเอาใจใส่ (Attention)
 กระบวนการความเอาใจใส่ (Attention)  ความใส่ใจของผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าผู้เรียนไม่มีความใส่ใจการเรียนรู้ก็จะใม่เกิดขึ้น
2. กระบวนการจดจำ (Retention)
กระบวนการจดจำ (Retention)   ผู้เรียนสามารถจดจำสิ่งที่ตนเองสังเกตและไปเลียนแบบได้ถึงแม้เวลาจะผ่านไปก็ตาม
3. กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวอย่าง (Reproduction)
กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวอย่าง (Reproduction) เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนสามารถแสดงออกมาเป็นการการกระทำหรือแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ
4. กระบวนการการจูงใจ (Motivation)
กระบวนการการจูงใจ (Motivation)แรงจูงใจของผู้เรียนที่จะแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบที่ตนสังเกต เนื่องจากความคาดหวังว่า การเลียนแบบจะนำประโยชน์มาให้
การทดลอง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แบนดูรา

- บันดูราและผู้ร่วมงานได้แบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่ม
- กลุ่มหนึ่งให้เห็นตัวอย่างจากตัวแบบที่มีชีวิต แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว
- เด็กกลุ่มที่สองมีตัวแบบที่ไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว
- เด็กกลุ่มที่สามไม่มีตัวแบบแสดงพฤติกรรมให้ดูเป็นตัวอย่าง
- ผลการทดลองพบว่า เด็กที่อยู่ในกลุ่มที่มีตัวแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว จะแสดงพฤติกรรมเหมือนกับที่สังเกตจากตัวแบบ
   คุณสมบัติของผู้เรียน
-ผู้เรียนจะต้องมีความสามารถที่จะรับรู้สิ่งเร้า
 -สามารถสร้างรหัสหรือกำหนดสัญลักษณ์ของสิ่งที่สังเกตเก็บไว้ในความจำระยะยาว
- สามารถเรียกใช้ในขณะที่ผู้สังเกตต้องการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ
       การนำทฤษฎีมาประยุกต์ในการเรียนการสอน
1.บ่งชี้วัตถุประสงค์ที่จะให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมหรือเขียนวัตถุประสงค์เป็นเชิงพฤติกรรม
2. แสดงตัวอย่างของการกระทำหลายๆอย่าง
3. ให้คำอธิบายควบคู่กันไปกับการให้ตัวอย่างแต่ละอย่าง
4. ชี้แจงขั้นตอนของการเรียนรู้โดยการสังเกตแก่นักเรียน
5. จัดเวลาให้นักเรียนมีโอกาสที่แสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ
6.ให้เสริมแรงแก่นักเรียนที่สามารถเลียนแบบได้อย่างถูกต้อง

💂เกสตัลท์ (Gestalt ‘s Theory)💂


🙉ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt ‘s Theory)🙉
          ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์ เกิดจากนักจิตวิทยาชาวเยอรมันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1912 โดยมีผู้นำกลุ่มคือ เวอร์ไธเมอร์ (Wertheimer) โคห์เลอร์ (Kohler) คอฟฟ์กา (Koffka) และเลวิน (Lewin)
ทั้งกลุ่มมีแนวความคิดว่า การเรียนรู้เกิดจากการจัดประสบการณ์ทั้งหลายที่อยู่กระจัดกระจายให้มารวมกันเสียก่อน แล้วจึงพิจารณาส่วนย่อยต่อไป
       กฎการเรียนรู้ 
หลักการเรียนรู้ของทฤษฎี กลุ่มเกสตัลท์เน้นการเรียนรู้ที่ส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย ซึ่งจะเกิดขึ้นจากประสบการณ์และการเรียนรู้เกิดขึ้นจาก 2 ลักษณะคือ
1. การรับรู้ (Perception) เป็นการแปรความหมายจากการสัมผัสด้วยอวัยวะสัมผัสทั้ง 5 ส่วนคือ
หู ตา จมูก ลิ้นและผิวหนัง การรับรู้ทางสายตาจะประมาณร้อยละ 75 ของการรับรู้ทั้งหมด ดังนั้นกลุ่ม
ของเกสตัลท์จึงจัดระเบียบการรับรู้โดยแบ่งเป็นกฎ 4 ข้อ เรียกว่า กฎแห่งการจัดระเบียบ คือ
1.1 กฎแห่งความชัดเจน (Clearness) การเรียนรู้ที่ดีต้องมีความชัดเจนและแน่นอน เพราะผู้เรียนมีประสบการณ์เดิมแตกต่างกัน
1.2 กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of Similarity) เป็นการวางหลักการรับรู้ในสิ่งที่คล้ายคลึงกันเพื่อจะได้รู้ว่าสามารถจัดเข้ากลุ่มเดียวกัน
1.3 กฎแห่งความใกล้ชิด (Law of Proximity) เป็นการกล่างถึงว่าถ้าสิ่งใดหรือสถานการณ์ใดที่มีความใกล้ชิดกัน ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะรับรู้สิ่งนั้นไว้แบบเดียวกัน
1.4 กฎแห่งความต่อเนื่อง (Law of Continuity) สิ่งเร้าที่มีทิศทางในแนวเดียวกัน ซึ่งผู้เรียนจะรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน
1.5 กฎแห่งความสมบูรณ์ (Law of Closer) สิ่งเร้าที่ขาดหายไปผู้เรียนสามารถรับรู้ให้เป็นภาพ
สมบูรณ์ได้โดยอาศัยประสบการณ์เดิม
2. การหยั่งเห็น (Insight) หมายถึง การเกิดความคิดแวบขึ้นมาทันทีทันใด ในขณะที่ประสบปัญหาโดยมองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาตั้งแต่เริ่มแรกเป็นขั้นตอนจนสามารถแก้ปัญหาได้ เป็นการ
มองเห็นสถานการณ์ในแนวทางใหม่ ๆ ขึ้น โดยเกิดจากความเข้าใจและความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์ว่า
ได้ยินได้ค้นพบแล้ว ผู้เรียนจะมองเห็นช่องทางการแก้ปัญหาขึ้นได้ในทันทีทันใด
การทดลองกลุ่มเกสตัลท์ เพื่อที่จะได้เข้าใจวิธีการแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้เกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยการหยั่งเห็น ซึ่งจะยกตัวอย่างการทดลองของโคล์เลอร์ ระหว่างปี ค.ศ. 1913-1917 ซึ่งทดลองกับลิง
ชิมแปนซี ซึ่งการทดลองครั้งแรกเป็นการทดลองในเยอรมัน แต่ต่อมาเข้าได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่อเมริกา
การทดลองส่วนใหญ่ระยะหลังจึงเกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการในประเทศอเมริกา
ขึ้นตอนการทดลอง การทดลองของเขาครั้งแรกมีจุดประสงค์เพราะไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ที่กล่าว สัตว์โลกทั่วไปทำอะไรไม่มีแบบแผนหรือระเบียบวิธีใด ๆ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นการเดาสุ่มหรือการลองถูกลองผิด โดยมีการเสริมกำลังเป็นรางวัล เช่น อาหารเป็นแรงจูงใจที่ผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ โดยไม่มีกระบวนการแก้ปัญหาโดยใช้ปัญญา 


วิดีโอที่เกี่ยวข้อง

      🙈โคลเลอร์ได้สังเกตและศึกษาเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ เพราะมีความเชื่อว่าในสถานการณ์หนึ่ง ถ้ามีเครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ในการแก้ปัญหาและปฏิบัติการพร้อม สัตว์และคนสามารถแก้ปัญหาได้โดยการหยั่งเห็นโดยการมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ เมือสัตว์ได้เรียนรู้การแก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็นและเห็นช่องทางในสิ่งนั้นได้แล้ว การกระทำครั้งต่อไปจะสามารถแก้ปัญหาพฤติกรรมที่ยากขึ้นไปเรื่อย ๆ และสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
โคลเลอร์ได้ทดลองโดยการขังลิงชิมแปนซี ตัวหนึ่งไว้ในกรงที่ใหญ่พอที่ลิงจะอยู่ได้ภายในกรงมีไม้หลายท่อน มีลักษณะสั้นยาวต่างกันวางอยู่ นอกกรมเขาได้แขวนกล้วยไว้หวีหนึ่งเกินกว่าที่ลิงจะเอื้อมหยิบได้การใช้ท่อนไม้เหล่านั้น บางท่อนก็สั้นเกินไปสอยกล้วยไม่ถึงเหมือนกัน มีบางท่อนยาวพอที่จะสอยได้ ในขั้นแรกลิงขิมแพนซีพยายามใช้มือเอื้อมหยิบกล้วยแต่ไม่สำเร็จแม้ว่าจะได้ลองทำหลายครั้งเป็นเวลานานมันก็หันไปมองรอบรอบกรง เขย่ากรง ส่งเสียงร้อง ปีนป่ายและทำทุกอย่างที่จะช่วยให้ได้กินกล้วย แต่เมื่อไม่ได้ผลไม่สามารถแก้ปัญหาได้มันหันมาลองจับไม้เล่นแบะใช้ไม้นั้นสอยกล้วยแต่เมื่อไม่ได้ผล ไมสามารถจะแก้ปัญหาได้ มันหันมาลองจับไม้อันอื่นเล่น และใช้ไม้นั้นสอยกล้วย การกระทำเกิดขึ้นเร็วและสมบูรณ์ ไม่ได้ค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ เลยในที่สุดมันก็สามารถใช้ไม้สอยกล้วยมากินได้
        🙊 วิธีการที่ลิงใช้แก้ปัญหานี้ โคล์เลอร์เรียกพฤติกรรมนี้ว่าเป็นการหยั่งเห็น เป็นการมองเห็นช่องทางในการแก้ปัญหาโดยลิงชิมแพนซีได้มีการรับรู้ในความสัมพันธ์ระหว่างไม้สอย กล้วยที่แขวนอยู่ข้างนอกกรงและสามารถใช้ไม้นั้นสอยกล้วยได้เป็นการนำไปสู่เป้าหมาย 
กระบวนการแก้ปัญหาของลิงชิมแพนซีมีดังนี้
ก. วิธีการแก้ปัญหาโดยการหลั่งเห็นจะเกิดขึ้นทันทีทันใดเหมือนความกระจ่างแจ้งในใจ
ข. การเรียนรู้การหยั่งเห็นเป็นการที่ผู้เรียนมองเห็นรับรู้ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ ไม่ใช่เป็นการตอบสนองของสิ่งเร้าเพียงอย่างเดียว
ค. ความรู้เดิมของผู้เรียน ประสบการณ์ของผู้เรียนมีส่วนที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการหยั่งเห็นในเหตุการณ์ที่ประกอบขึ้นเป็นปัญหาและช่วยให้ การหยั่งเห็นเกิดขึ้นเร็ว
การนำทฤษฎีประยุกต์ในการเรียนการสอน
       การนำทฤษฎีประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน นักจิตวิทยากลุ่มนี้คิดว่า ในการเรียนรู้ของคนเราเป็นการเรียนรู้ด้วยการหยั่งเห็นซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และคิดได้ว่าอะไรเป็นอย่างไร ปัญหาก็แจ่มชัดขึ้นเอง เนื่องจากการเห็นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ ของปัญหามีหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ด้วยการหยั่งเห็นดังนี้
1. การหยั่งเห็นจะขึ้นอยู่กับการจัดสภาพที่เป็นปัญหา ประสบการณ์เดิมแม้จะมีความหมายต่อการเรียน
รู้ แต่การหยั่งเห็นนั้นให้เป็นระเบียบ และสามารถจัดส่วนของสถานการณ์นั้นให้เป็นระเบียบ มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
2. เมื่อสามารถแก้ปัญหาได้ครึ่งหนึ่ง คราวต่อไปเมื่อเกิดปัญหาขึ้นอีกผู้เรียนก็จะสามารถนำวิธีการนั้น
มาใช้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดพิจารณาใหม่
3. เมื่อค้นพบลู่ทางในการแก้ปัญหาครั้งก่อนแล้วก็อาจนำมาดัดแปลงใช้กับสถานการณ์ใหม่ และรู้จัก
การมองปัญหา เป็นส่วนเป็นตอนและเรียนรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ได้

        💚สรุป💚
       ความรุ้เบื้องต้นในการออกแบบการเรียนการสอนประกอบด้วย ความต้องการความจำเป็นสำหรับการเรียนการสอน นิยามการออกแบบการเรียนการสอน ประโยชน์การออกแบบการเรียนการสอน แบบจำลองการออกแบบการเรียนการสนโดยทั่วไป บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอน งานและผลผลิตของการออกแบบการเรียนการสอน ความจำเป็นของการออกแบบการเรียนการสอนหรือการแก้ปัญหาคุณภาพของการเรียนการสอนในสถานการณ์ที่หลากหลายเพื่อให้การเรียนการสอนมีคุณภาพ บรรบุจุดประสงค์ตามเจตนารมณ์ของผู้สอนและหลักสูตร
      การออกแบบการเรียนการสอน หมายถึง กระบวนการแก้ไขปัญหาการเรียนการสอนโดยการวิเคราะห์สถานการณ์หรือเงื่อนไขในการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ แล้ววางแผนอย่างเป็นระบบเพื่อการเรียนการสอนบรรลุเป้ามายโดยอาศัยความรู้จากหลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎีการเรียนรู้ ฤษฎีการสอน ทฤษฎีการติดต่อสื่อสาร ตลอดจนทฤษฎีที่เกียวข้องกับวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น CAI/CBT, WBI/WBT หรือ e-Learning รวมทั้งบทเรียนอื่น ๆ ที่นำเสนอโดยใช้คอมพิวเตอร์ อาจกล่าวได้ว่ารูปแบบการสอนเหล่านั้นประยุกต์มาจากขั้นตอนของวิธีการระบบ (System Approach) ซึ่งเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ เป็น ขั้นตอนแรก ได้แก่ การวิเคราะห์เนื้อหาการวิเคราะห์ผู้เรียน และวิเคราะห์ข้อมูลอื่น ๆ ขั้นตอนนี้ นับว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่จะส่งผลไปยังขั้นตอนอื่น ๆ เนื่องจากทุกขั้นตอนจะมีความสัมพันธ์กันและส่งผลซึ่งกันและกัน สำหรับขั้นตอนที่สองเป็นการออกแบบบทเรียน ได้แก่ เขียนวัตถุประสงค์ วางแผนการเรียนการสอน ออกแบบทดสอบ และส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆก่อนที่จะนำไปสร้างเป็นบทเรียนในขั้นตอนที่สาม ส่วนขั้นตอนที่สี่ เป็นการนำบทเรียนหรือระบบการสอนที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย หลังจากนั้นจะเป็นการประเมิน  
        ผลบทเรียนในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งขั้นตอนนี้จะส่งผลย้อนกลับไปยังทุกขั้นตอนที่ผ่านมา หากบทเรียนหรือระบบการสอนที่ได้มีคุณภาพ จะต้องกลับไปปรับเปลี่ยนแก้ไขในขั้นตอนที่เกี่ยวข้องใหม่ให้มีความสมบูรณ์ขึ้น

   

เพิ่มเติม: ความรุ้เบื้องต้นเกี่ยวกับการออกแบบการเรียนการสอน ในรูปแบบวิดิโอ






power point ของบท